ตลาดรถยนต์ 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.67) มียอดขายประมาณ 3.5 แสนคัน ลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า EV มีจำนวนกว่า 43,000 คัน โดย “บีวายดี” มียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง
จากสถานการณ์ตลาดที่หดตัว 24% พบว่ายอดขายรถยนต์เกือบทุกแบรนด์ลดลงถ้วนหน้า ทั้งค่ายญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกัน และจีน มีเพียง บีวายดีที่ได้ตัวเลข 17,421 คัน เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
เรเว่ ออโตโมทีฟ ผู้จัดจำหน่ายบีวายดีอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันมีโปรดักต์ในกลุ่มรถยนต์นั่ง EV ทั้ง Dolphin Atto 3 Seal และ e6 โดยที่ผ่านมาออกแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างหนัก โดยเฉพาะสองรุ่นแรก
ล่าสุดเปิดตัวเอสยูวีปลั๊ก-อินไฮบริด รุ่นประกอบในประเทศ BYD Sealion 6 ราคา 939,900 บาท ถือเป็นรถ PHEV ราคาต่ำที่สุดในตลาด โดย เรเว่ ออโตโมทีฟ ยอมรับว่าได้รับการสนับสนุนที่ดีจากบริษัทแม่(โรงงานผลิต) และต้องการขยายตลาดไปยังรถปลั๊ก-อินไฮบริด ให้มากขึ้น นอกเหนือไปจาก EV ซึ่งปลายปีนี้เตรียมเปิดตัวรถใหม่อีกหลายรุ่น
นายวิศิษฎ์ พิทยะวิริยากุล รองประธานบริหาร ฝ่ายบริหารธุรกิจ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด เปิดเผยว่า บีวายดีบริษัทฯแม่ช่วยสนับสนุนเยอะมากทั้งด้านสินค้าใหม่ รวมถึงโรงงานที่เกิดขึ้นไวมาก ซึ่งเรเว่ อยากจะทำตลาดให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ภายในสิ้นปีนี้ โดยบริษัทคาดว่าสัดส่วนการขายในกลุ่ม EV จะมี 90% ส่วนปลั๊ก-อิน ไฮบริด 10%
“เราพยายามเปิดรถรุ่นใหม่ต่อเนื่อง เพราะยังขาดรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ส่วนภาพรวมตลาดนั้นหากไฟแนนซ์ยังคุมเข้มอยู่ก็จะกระทบกับตลาด และทำให้ตลาดยังคงหดตัว แต่หากภาครัฐมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือภาคเกษตร ท่องเที่ยว ถ้าทุกอย่างดีขึ้นก็จะทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้น ตรงนี้ก็จะไปช่วยอีกทาง” นายวิศิษฎ์ กล่าวสรุป
จากการเปิดตัว BYD Sealion 6 ที่ราคาได้ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท ย่อมส่งผลกระทบกับคู่แข่ง ทั้งที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน และเซกเมนต์อื่นๆ อย่างเกรท วอลล์ มอเตอร์ มี Haval H6 Hybrid ที่เคยขายราคา 1,349,000 บาท และทำรุ่นย่อยใหม่ Pro ออกมาสู้ด้วยราคา 1,099,000 บาท ล่าสุดยังแถมโปรโมชันมูลค่า50,000 บาท ขณะที่ HAVAL H6 Plug-in Hybrid ราคาเต็ม 1,699,000 บาท แต่มีโปรโมชัน 200,000 บาท ขณะที่ HAVAL JOLION Hybrid ราคาเริ่มต้น 799,000 บาทมีโปรโมชันดอกเบี้ย 0%
สำหรับยอดขายเกรท วอลล์ มอเตอร์ 7 เดือนที่ผ่านมา ทำได้ 4,489 คัน ลดลง 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการทำสงครามราคา EV ของคู่แข่ง และเจอการทุบราคารถไฮบริดในรอบล่าสุด
ขณะที่แบรนด์จีนผู้มาก่อนอย่าง เอ็มจี เพิ่งเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ All new MG3 HYBRID+ แต่ไม่กล้าตั้งราคาสูง โดยเปิดราคาพิเศษช่วงแนะนำต่ำกว่า 6 แสนบาท
โดย MG3 HYBRID+ รุ่น D ราคาช่วงแนะนำ 559,900 บาท จากราคาปกติ 579,900 บาท รุ่น X ราคา 599,900 บาท จากปกติ 619,900 บาท
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นแบรนด์รอง จึงต้องพยายามต้ังราคาให้แข่งขันกับอีโคคาร์ญี่ปุ่น และรถไฮบริดในท้องตลาดได้
“MG3 HYBRID+ ถูกวางให้เป็นหนึ่งในโมเดลยุทธศาสตร์ ประจำปีนี้ของเอ็มจี ในการบุกตลาด B-Segment ในเมืองไทย โดยรถรุ่นใหม่นี้จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างความประหยัดและสมรรถนะที่ทรงประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่เข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ง่าย” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวสรุป
สำหรับศึกรถยนต์ไฟฟ้าทั้งไฮบริด และ EV ยังมีต่อเนื่อง การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่าง ฉางอาน ที่เพิ่งฉลองครบรอบ 1 ปีในการทำธุรกิจในไทย (ทำยอดขายรวม 8,000 คัน) ประกาศความพร้อมในการเปิดโรงงานผลิตต้นปี 2568 กับเอสยูวีไฟฟ้าแบบขยายระยะทางการวิ่ง REEV
ด้านบริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายฉี เจี๋ย ประธานบริษัท เปิดเผยว่า สงครามราคาที่เกิดขึ้นกับรถจีนในตอนนี้ บริษัทมองว่าสถานการณ์ในตอนนี้เริ่มซาเริ่มสงบลงแล้ว และที่ผ่านมาบริษัฯวางแผนมาเป็นปี เพื่อพัฒนาและปรับปรุงสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในไทย และบริษัทฯตั้งเป้าที่จะอยู่ระยะยาว และตั้งใจให้โรงงานในไทยเป็นฮับของรถEV พวงมาลัยขวา
“โอโมดา แอนด์ เจคู ได้เปิดตัวรถใหม่อย่างเป็นทางการในไทย รุ่น OMODA C5 EV ที่มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก ราคา 8.99 และ 9.49 แสนบาท เริ่มทยอยส่งมอบ ก.ย.นี้ ส่วนอีกรุ่น JAECOO 6 EV ราคาประมาณการ 1.099 -1.249 ล้านบาท เริ่มส่งมอบตุลาคมนี้” นายฉี เจี๋ย กล่าวสรุป
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 มีการเปิดตัวแบรนด์ XPENG และ Zeekr ขณะที่ปลายปีนี้ยังมีรถจีนแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาบุกตลาดไทยต่อเนื่อง ทั้ง จีลี่ โดยแบรนด์ Riddara กระบะไฟฟ้า และ Galaxy เอสยูวี EV รวมถึงค่าย FAW ในแบรนด์ หงฉี ที่ได้พันธมิตรในไทยเรียบร้อยและวางแผนเปิดตัวธุรกิจอยู่
สำหรับตลาดรถยนต์ไทยปีนี้คาดว่าจะปิดยอดขายประมาณ 6.5 แสนคัน ซึ่ง EV จะมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 10%