การพูดคุยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง นายใหญ่โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น หวังให้รัฐบาลไทย ส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฮบริด เพื่อรักษาอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เข้มแข็งต่อไป
โอกาสนี้ นายใหญ่โตโยต้า และ นายกฯ แพทองธาร ได้หารือถึงแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย โดยเห็นพ้องถึงการจัดทำนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มตลาดผู้ใช้รถยนต์และลูกค้าในกลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ประเภทไฮบริด (Hybrid) ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลพร้อมอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศ เพื่อรักษาอุตสาหกรรมยานยนต์ ในประเทศไทย
การมาเยือนไทยครั้งนี้ น่าจะเป็นการตอกย้ำจุดยืนของโตโยต้า ขณะเดียวกัน “อากิโอะ โตโยดะ” ยังเสมือนเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น ที่ต้องการสื่อสารย้ำๆ ว่า “อย่าลืมฉัน” ที่ลงหลักปักฐาน ช่วยสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศไทยมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
ในขณะที่นายใหญ่ เดินเกมกับผู้นำประเทศ แต่องคาพยพอื่นๆ ทั้งในส่วนของภาครัฐ และโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ JCC (หอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ) สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งประเทศไทย TAPMA ได้มีการประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมยื่นข้อเสนอต่างๆ ไปยังภาครัฐแล้ว
โตโยต้า มองว่า ตลาดรถยนต์ที่ร่วงหนัก อาการสาหัสตอนนี้ สาเหตุมาจากสัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนสูงถึง 90% จึงต้องการให้รัฐบาลผ่อนผันเงื่อนไขการปล่อยกู้ และมีมาตรการช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น
นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เคยยื่น 3 ข้อเสนอให้รัฐบาลไทยพิจารณา ดังนี้
1.ต้องการให้รัฐบาลมีแผนระยะกลาง และระยะยาว ที่ตอบรับความต้องการของผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในการสนับสนุนการผลิตรถยนต์กลุ่มที่มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างสูง นั่นคือ รถปิกอัพ พีพีวี และอีโคคาร์
2.การออกมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมในระยะสั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังประสบความยากลำบากดังเช่นในปัจจุบัน
3.การสนับสนุนให้มีตัวเลือกยานยนต์ขับขี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่ BEV แต่ให้ครอบคลุมถึง FCEV, PHEV, HEV และรถยนต์ใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
นั่นคือ 3 ข้อเสนอของโตโยต้า ในช่วงตลาดรถยนต์ไทยมียอดขายต่ำสุดในรอบ 15 ปี แถมโดน EV จีนเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาด พร้อมทำสงครามราคากันอย่างสนุกสนาน ซึ่งปีหน้า 2568 คาดว่าสถานการณ์คงไม่ต่างไปจากนี้มากนัก