"เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส" กางกฎหมายมัด ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัย "บิ๊กโจ๊ก"

06 ส.ค. 2567 | 02:00 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ส.ค. 2567 | 10:05 น.

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย อดีต ผบ.ตร. กางกฎหมาย มัด ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัย "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ลั่นหากฟ้องศาลทุจริต ตนยินดีเป็นพยานให้

รายการ “เข้าเรื่อง” เผยแพร่ทางยูทูปช่องฐานเศรษฐกิจ ชวนพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ วิเคราะห์สถานการณ์ กรณีบิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.

หลังจากคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ได้นัดประชุมพิจารณาสำนวนอุทธรณ์ต่อเนื่องในวันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2567 แต่ยังไม่มีคำวินิจฉัย เนื่องจากเอกสารในการพิจารณามีมากกว่า 1,000 แผ่น และมีการยื่นเอกสารเพิ่มเติม 

โดยคาดว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมาในวันอังคารที่ 6 สิงหาคมเป็นอย่างเร็ว หรือวันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคมเป็นอย่างช้า แต่ในขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวลือออกมาว่าผลวินิจฉัย ก.พ.ค.ตร มีมติเอกฉันท์คำสั่งให้ออกจากราชการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นไปโดยชอบตามกฏหมาย

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้มุมมองว่ากรณียังไม่มีบทสรุปออกมาจาก ก.พ.ค.ตร. ในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 นั้นถือเป็นปกติ เพื่อความรอบคอบในการรับฟังพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งกรอบระยะเวลาการทำงานของก.พ.ค.ตร. มีถึง 120วัน การจะมีคำวินิจฉัยออกมาในช่วงวันที่ 6-8 สิงหาคม ถือว่ามีความรวดเร็วมากแล้ว

ส่วนเรื่องข่าวลือว่า 6 ต่อ 0 เห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นไปโดยชอบตามกฏหมายนั้น มองว่าเป็นข่าวที่ออกมาจากฝ่ายมากกว่า ที่ได้ประโยชน์

เพราะหาก บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งเหลืออายุราชการอีก 7 ปี ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะทำให้คนอื่นๆหมดสิทธิได้ขึ้นอีกหลายคน เช่น พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ ,พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.

รวมถึงระดับผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่จะขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร. ก็ไม่ได้ขึ้นไปด้วย แต่ก็ต้องยึดตามหลักกฎหมายว่าไม่ได้มีข้อห้ามว่าผู้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.เหลืออายุราชการนานเกินไป

เมื่อเกิดความกลัวว่าหาก บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.แล้วจะทำให้หลายๆคนไม่ได้ขยับขึ้น ก็เลยทำให้มีฝ่ายที่เชียร์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เยอะ เพราะหาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้เป็น 1 ปี พล.ต.อ.ธนา ก็ได้เป็น พล.ต.อ.ไกรบุญ ก็ได้เป็น ผู้ช่วยต่างๆ ก็ได้เป็น

แม้กระทั่งก.ตร. หรืออนุกรรมการวินัย ที่บอกว่าคำสั่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ชอบด้วยกฎหมาย ก็จะมีผลประโยชน์ด้วย เช่นการขอแต่งตั้งให้พรรคพวก เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องตนเอง จึงเป็นที่มาของข่าวลือ

\"เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส\" กางกฎหมายมัด ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัย \"บิ๊กโจ๊ก\"

จุดยืน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์?

การที่เห็นว่าตนเอง ยืนยันว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกมาโดยตลอด แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้อยู่ข้างฝ่ายใดทั้งสิ้น แต่เพียงว่าพิจารณาไปตามข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงเพื่อให้พี่น้องประชาชน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ฟัง ซึ่งตนเองเป็นคนเดียวที่พูดถึงเรื่องนี้โดยมีประสบการณ์เคยเป็น ผบ.ตร.มาก่อน มีความรู้เรื่อง พ.ร.บ.ตำรวจ ทั้งยังเคยผ่านเหตุการณ์ในลักษณะใกล้เคียงกับเหตุการณ์นี้มาก่อนแล้ว ตนเองเคยถูกปลดมาก่อนในยุค นายสมัคร สุนทรเวช 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุต่อไปว่า ผู้ที่เห็นว่าคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายเหมือนกันกับตน ล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส, ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. ซึ่งต่างจากผู้ออกความเห็นอีกฝั่งที่อาจไม่มีประสบการณ์ และความเข้าใจ

กางกฎหมาย มัด ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัยได้ทางเดียว

กฎหมายอีกหนึ่งฉบับที่ยังไม่มีใครพูดถึงเลย นั่นก็คือ พ.ร.ฎ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา 36 วรรค 2 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ส่วนราชการที่ได้รับการเสนอแนะไม่เห็นชอบด้วยกับคำเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาวินิจฉัย” 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า หลังจากคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นออกมาแล้วหลายเดือน แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็ไม่ได้เสนอเรื่องต่อ ครม.แต่อย่างใด นั่นหมายความว่า ทั้ง สตช. และ นายกรัฐมนตรียอมรับกับคำแนะนำดังกล่าว ว่าผู้บังคับบัญชาจะสั่งพักราชการ หรือ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ต้องเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวน

จึงสรุปได้ว่า เพียงแค่ ก.พ.ค.ตร. พิจารณาจากกฎหมายข้อนี้ข้อเดียวก็ถือว่าจบ ว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่หากวินิจฉัยมาในทางตรงข้าม  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ต้องฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด ภายใน 90 วัน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 2-3ปี กว่าจะถึงที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ยังเหลืออายุราชการในการกลับมาดำรงตำแหน่งได้ หากคดีถึงที่สุดแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นฝ่ายชนะ

แต่จะเป็นการเสียโอกาส เสียเวลา และต้องมีผู้รับผิดชอบ ตั้งแต่ผู้ออกคำสั่งคือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ และอาจถูกฟ้องฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากถือว่ามีเจตนาพิเศษหรือไม่ เพราะเป็นรอง ผบ.ตร.เบอร์2

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อไปด้วยว่า หากต้องการให้ตนเป็นพยานให้ ถ้ามีการฟ้องร้องกันในศาลคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ตนก็ยินดี ซึ่งทั้งก.ตร. ทั้งอนุกรรมการวินัยฯ หรือแม้แต่ ก.พ.ค.ตร. ก็อาจถูกฟ้องกลับด้วยทั้งหมด