ไทยประกาศจัดการประชุมภูมิภาค 2 วาระสำคัญเกี่ยวกับเมียนมาในวันที่ 19 และ 20 ธันวาคมนี้ โดยหนึ่งในนั้นจะมีผู้แทนรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าร่วมด้วย ท่ามกลางความพยายามของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่ยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาวิกฤตภายในประเทศเมียนมา หลังรัฐประหารที่ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองและความไม่สงบในประเทศกว่า 3 ปี
การประชุมทั้งสองครั้งจัดขึ้นภายใต้การนำของ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย โดยการประชุมแรกในวันที่ 19 ธันวาคม จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนจาก 6 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ จีน อินเดีย สปป.ลาว เมียนมา และไทย เข้าร่วมในการหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาที่ทุกฝ่ายมีความกังวลร่วมกัน โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความมั่นคงชายแดนและอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดและการฉ้อโกงออนไลน์
สำหรับวันที่ 20 ธันวาคม จะเป็นการประชุมในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียน ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกที่สนใจเข้าร่วมเพื่อหารือเกี่ยวกับ "ฉันทามติ 5 ข้อ" ของอาเซียน ซึ่งเป็นแผนสันติภาพที่ถูกเสนอขึ้นในปี 2564 โดยยังไม่มีความชัดเจนว่าฝ่ายเมียนมาจะมีตัวแทนเข้าร่วมประชุมครั้งนี้หรือไม่
หลังรัฐประหารในปี 2564 อาเซียนได้มีมติไม่เชิญผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าร่วมการประชุมในระดับผู้นำหรือรัฐมนตรี แต่ให้มีเพียงตัวแทนในระดับไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเข้าร่วมเท่านั้น ซึ่งแสดงถึงความไม่ยอมรับของอาเซียนต่อการบริหารประเทศของรัฐบาลทหารเมียนมา
นายดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเตรียมดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2568 ระบุว่า รัฐบาลมาเลเซียกำลังดำเนินการสนับสนุนการเจรจาในระดับต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เมียนมากลับมามีบทบาทในอาเซียน โดยกล่าวระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยในกรุงกัวลาลัมเปอร์
ขณะเดียวกัน อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศประธานอาเซียนในปี 2566 ยืนยันว่ารัฐมนตรีต่างประเทศของตนจะเข้าร่วมการประชุมในวันที่ 20 ธันวาคม
วิกฤตเมียนมานับตั้งแต่รัฐประหารได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภูมิภาค โดยเกิดการลุกฮือทั่วประเทศจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่ส่งผลให้ประชาชนกว่า 55 ล้านคนต้องทนทุกข์ อาเซียนในที่ประชุมสุดยอดเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้เรียกร้องให้มีการยุติความรุนแรงในทันที รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการเจรจาในระดับชาติที่มีความครอบคลุม