จากกรณีที่ที่ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าว CNN ได้เข้าไปรายงานข่าวในสถานที่เกิดเหตุภายในศูนย์เด็กเล็กอ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการล้อมที่เกิดเหตุเอาไว้นั้น จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมและจริยธรรมในการนำเสนอข่าวนั้น
รวมทั้งสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยFCCT ผิดหวังกับการนำเสนอข่าวล่าสุดของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นต่อเหตุกราดยิงในศูนย์เด็กเล็กหนองบัวลำภู ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบส่วนมากเป็นเด็ก
โดยทีมงานของซีเอ็นเอ็นได้เข้าไปในพื้นที่ที่ระบุชัดเจนว่าเป็นพื้นที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับการอนุญาต ไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ก็ตาม นี่คือการกระทำอันไม่เป็นมืออาชีพ และละเมิดจริยธรรมสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวอาชญากรรมอย่างร้ายแรง
ส่งผลให้ก่อนหน้านี้ CNN ได้ออกมาตอบข้อความในทวิตเตอร์ของ FCCT ว่า ผู้สื่อข่าวและช่างภาพของ CNN ที่เข้าไปถ่ายทำในสถานที่เกิดเหตุนั้น ได้เข้าไปถ่ายภาพพร้อมกับสื่ออื่นๆ ซึ่งในเวลานั้นเชือกที่ล้อมที่เกิดเหตุได้ถูกนำออก อีกทั้ง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังได้บอกกับทีมงานว่าสามารถไปถ่ายภาพข้างในได้
จากนั้นทีมงานได้เก็บฟุตเทจด้านในประมาณ 15 นาที ก่อนจะออกจากสถานที่ดังกล่าว ทั้งนี้ เป็นเวลาเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ได้นำเชือกมาล้อมที่เกิดเหตุไว้อีกครั้ง ทำให้ทีมข่าวของ CNN ต้องปีนรั้วออกจากที่เกิดเหตุออกมา
เย็นวันนี้ (วันที่ 9 ตุลาคม 2565) สถานีข่าว CNN ออกแถลงการณ์ ลงนามโดย ไมค์ แมคคาร์ธี รองประธานผู้บริหาร และผู้จัดการทั่วไป ซีเอ็นเอ็น อินเทอร์เนชันแนล แถลงการณ์ มีข้อความดังนี้
การรายงานข่าวของ CNN ที่ จ.หนองบัวลำภู ประเทศไทย
การรายงานข่าวของทีมงาน CNN จากที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญในจ.หนองบัวลำภู ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทยที่อยู่ ณ ที่นั้นให้เข้าไปด้านในศูนย์เลี้ยงเด็กได้ บัดนี้ ทีมงานเข้าใจแล้วว่าเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าวไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการให้อนุญาต หากขณะนั้นทีมงานทราบว่าการเข้าสู่อาคารและห้องภายในอาคารเป็นการล้ำเส้น พวกเขาก็จะไม่เข้าไป โดยพวกเขาไม่เคยมีเจตนาที่จะละเมิดกฎใด ๆ
ทีมงานเข้าสู่พื้นที่ได้ผ่านประตูที่เปิดสู่สนามหญ้า ซึ่งนักข่าวอื่น ๆ อยู่ในบริเวณนั้นอยู่แล้ว พื้นที่เกิดเหตุไม่มีเทปกั้นของตำรวจ ณ ช่วงเวลาที่ทีมเข้าไป หลังจากรายงานข่าวอย่างระมัดระวังและด้วยความเคารพประมาณ 15 นาที ทีมงานจึงได้กลับออกมา อย่างไรก็ตาม ประตูรั้วด้านหน้าถูกปิดไปแล้วและตำรวจได้นำเทปมาปิดกั้นพื้นที่แล้ว ทำให้พวกเขาต้องปีนประตูรั้วออกมา
ทีมงานเข้าไปด้านในอาคารด้วยเจตนาดี เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน และสื่อสารเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้ให้ผู้ชมรายงานข่าวสัมผัสถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับมนุษย์
ขณะนี้ CNN ได้หยุดการเผยแพร่รายงานข่าวชิ้นนี้และลบวิดีโอดังกล่าวออกจากเว็บไซต์แล้ว เรารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งหากรายงานข่าวของเราได้สร้างความลำบากใจ และความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นแก่ตำรวจไทยในช่วงเวลาแห่งความสะเทือนใจที่เกิดขึ้นแก่ประเทศไทย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้ตรวจสอบการเดินทางทีมนักข่าวซีเอ็นเอ็นคือ น.ส.อันนา มาร์เกอรีต โคเรน อายุ 47 ปี ชาวออสเตรเลีย และนายแดเนียล จอห์น ฮอด์จ อายุ 34 ปี สัญชาติบริติช ได้เดินทาง 6 ต.ค. ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุกราดยิงมาจากฮ่องกง และ 7 ตุลาคม เดินทางเข้าศูนย์เด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์
จากการตรวจสอบและพยานบุคคลภาพถ่าย ไม่มีเจตนาบุกรุก เพราะช่วงนั้นมีเจ้าหน้าที่ ประตูเปิดอยู่ โดยทั้งสองคนได้เดินเข้าไป มีคน 6-7 คนอยู่ในศูนย์เด็กเล็ก เวลาประมาณ 10 โมงถึงเที่ยง
"ชัดเจนว่ามีเจ้าหน้าที่อยู่ และเมื่อเข้ามา สอบถามเป็นภาษาอังกฤษว่าสามารถเข้ามาได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกเข้ามาได้ ไม่ได้แอบเข้าไป และเจ้าหน้าที่ไม่ได้ห้าม คงใช้เวลาถ่ายรูปข้างในเยอะ พอออกมีเห็นมีการปิดกั้นพื้นที่ จึงปีนรั้วออกมา ไม่มีเจตนาบุกรุก หรือละเมิดคำสั่ง หรือเข้าไปเกี่ยวข้องพยานหลักฐาน"
จากการสอบสวนพบทั้งสองใช้วีซ่าท่องเที่ยว ก่อนหน้านี้ น.ส.แอนนาเคยเข้าไทย 4-5 ครั้ง ส่วนนายแดเนียลเข้าครั้งเดียว พบใช้วีซ่าผิดประเภท ผบ.ตร.ได้สั่ง ตม.ดำเนินคดี ถอนวีซ่าและเปรียบเทียบปรับ เจ้าตัวยินยอมรับสารภาพ เสียค่าปรับ และยินยอมเดินทางกลับประเทศทั้งออสเตรเลียและอังกฤษ
ส่วนเหตุที่บันทึกภาพในศูนย์เพื่ออะไร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า เป็นไปตามวิชาชีพนักข่าว เก็บภาพให้ได้มากที่สุด ทราบว่าสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้ออกแถลงการณ์ขอโทษ ถึง 2 ฉบับ ทั้ง น.ส.อันดาและนายแดเนียลไม่สบายใจ พร้อมขอโทษคนไทย และสิ่งที่กระทำไปไม่มีเจตนา ซึ่งเห็นว่าสองคนไม่มีเจตนาจริง ดูจากภาพ พร้อมที่จะเดินทางกลับเลย โดย ตม.ไทยไม่ต้องผลักดัน และอาจไม่ต้องขึ้นแบล๊กลิสต์
น.ส.อันนา มาร์เกอรีต โคเรน อายุ 47 ปี นักข่าวสาวชาวออสเตรเลีย ได้เปิดเผยว่า ตนต้องขอโทษประเทศไทย โดยเฉพาะครอบครัวผู้สูญเสียจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เราเสียใจที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ซึ่งตนไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นเลย และต้องขอโทษต่อตำรวจ เรารู้ว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในความโศกเศร้า และไม่ได้อยากให้สถานการณ์แย่กว่าเดิม
ด้านนายแดเนียล จอห์น ฮอด์จ อายุ 34 ปี สัญชาติอังกฤษ กล่าวว่า ขอโทษต่อประเทศไทยสำหรับช่วงเวลาที่เจ็บปวดนี้ โดยทั้งสองคนได้ยกมือไหว้ขอโทษด้วย