เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.2565 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2565 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
กฎหมายนี้ ตราขึ้นเพื่อป้องกัน เฝ้าระวังการก่ออาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยให้สังคม รวมถึงแก้ปัญหา และลดอัตราการกระทำความผิดซ้ำ
สำหรับสาระสำคัญของพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.2565 มีดังต่อไปนี้
กำหนดให้มีคณะกรรมการ 2 ชุด
คือ คณะกรรมการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ มีหน้าที่ เช่น กำหนดนโยบายและแผนการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำของผู้กระทำความผิด ให้คำปรึกษา และข้อเสนอแนะ อีกชุดคือ คณะกรรมการพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ มีหน้าที่ เช่น กำหนดมาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ มาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษ เป็นต้น
มาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด
เช่น พนักงานอัยการมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ใช้มาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อป้องกันไม่ให้กระทำความผิดซ้ำ ด้วยมาตรการทางการแพทย์ เช่น การใช้ฮอร์โมน หรือมาตรการอื่นๆ ที่รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมกำหนดในกฎกระทรวง
โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตเวชศาสตร์ และสาขาอายุรศาสตร์ ต้องมีความเห็นพ้องกัน โดยกระทำได้เมื่อผู้กระทำความผิดยินยอม เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ซึ่งสามารถนำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาลดหย่อนผ่อนโทษได้ด้วย
ในส่วนของ มาตรการทางการแพทย์นั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ วันที่ 12 มี.ค. 2565 ว่า “มาตรการทางการแพทย์ ที่มีส่วนในการป้องกันผู้ต้องหาที่ได้กระทำผิดซ้ำนั้น เช่น การใช้ยา การฉีดฮอร์โมนลดความต้องการทางเพศ หรือ ฉีดให้ไข่ฝ่อ โดยมาตรการทางการแพทย์"
มาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ
หากมีเหตุให้เชื่อว่านักโทษเด็ดขาดจะกระทำความผิดซ้ำภายหลังพ้นโทษ ศาลอาจมีคำสั่งกำหนดมาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษได้
มาตรการดังกล่าว ได้แก่
มาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษ
ศาลอาจมีคำสั่งให้ใช้มาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษแก่นักโทษเด็ดขาด
หากศาลเห็นว่ามีเหตุเชื่อได้ว่าผู้นั้นจะไปกระทำความผิดซ้ำ และไม่มีมาตรการอื่นใดที่อาจป้องกันไม่ให้ไปกระทำความผิดได้
การคุมขังฉุกเฉิน
กรณีมีเหตุเชื่อได้ว่าผู้ถูกเฝ้าระวังจะกระทำความผิด และมีเหตุฉุกเฉิน หากไม่มีมาตรการอื่นที่อาจป้องกันไม่ให้ผู้ถูกเฝ้าระวังกระทำความผิดได้ เมื่อพนักงานอัยการร้องขอ ศาลอาจสั่งคุมขังฉุกเฉินผู้ถูกเฝ้าระวังได้ไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง
ทั้งนี้ ให้นำพระราชบัญญัติดังกล่าวไปใช้บังคับกับคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล รวมถึงกรณีที่จะมีการปล่อยตัวนักโทษเด็ดขาด ซึ่งเป็นผู้กระท้าความผิดตามที่กำหนดอยู่ในวันก่อนวันที่กฎหมายนี้ใช้บังคับด้วย
นางสาว รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่มาของการออกกฎหมายฉบับนี้ว่า เนื่องจากข้อมูลของกระทรวงยุติธรรม พบว่า ผู้กระทำผิดอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง เมื่อพ้นโทษแล้ว จะกระทำความผิดซ้ำในระยะเวลา 3 ปี มากกว่าร้อยละ 50 รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องออกกฎหมายฉบับนี้ขึ้น
อ่านฉบับเต็ม : พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.2565