ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7ม.ค.67) มหาวิทยาลัยรามคำแหงเผยแพร่เอกสารข่าว กรณีศาลปกครองสูงสุด ไม่รับคำฟ้องของนายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ รายละเอียดดังนี้
มหาวิทยาลัยรามคำแหงขอเรียนว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม2567 ที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้รับทราบคำสั่งศาลปกครองสูงสุดในคำร้องที่ 407/2566 คำสั่งที่1787/2566 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 โดยสรุป ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งถึงที่สุดเป็นไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี คือ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ ไว้พิจารณา และสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โดยในคดีนี้ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ได้ฟ้องสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ 1 กับพวกรวม27 คน โดยขอให้ศาลเพิกถอนมติและคำสั่งที่แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี และ รองอธิการบดีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566โดยอ้างว่าศาลปกครองได้มีคำสั่งคุ้มครองผู้ฟ้องคดีที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งอธิการบดีตามมติสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงในการประชุมครั้งที่ 21/2565 เมื่อวันที่8 พฤศจิกายน2565 แล้ว
คดีดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดจนนำมาสู่คำสั่งของศาลปกครองสูงสุด คำสั่งที่ 1787/2566 ที่ส่งถึงมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อวันที่20 ธันวาคม 2566โดยผลของการพิจารณามีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งว่าให้จำหน่ายคำฟ้องข้อหาที่ 1 และข้อหาที่2 และไม่รับคำฟ้องข้อหาที่3 และข้อหาที่4 ไว้พิจารณา กับให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความ ต่อมานายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณา
2. ศาลปกครองสูงสุด พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า
2.1 ฟ้องข้อหาที่หนึ่งและข้อหาที่สอง ศาลเห็นว่า การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเป็นการแต่งตั้งบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีเพื่อให้การบริหารงานในมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 21/2565 ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และภายหลังมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 15พฤศจิกายน2565 บอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดี จากการเป็นอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว จึงเป็นกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีในขณะนั้น
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 13กุมภาพันธ์ 2566 จึงมีมติแต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 25 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2541 และอาศัยอำนาจตามมาตรา18 (4) มาตรา 22 และมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แต่งตั้งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่อธิการบดีมอบหมาย
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติดังกล่าวจึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลอันมีลักษณะเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 แต่คำสั่งดังกล่าวย่อมมีผลกระทบต่อบุคคล ผู้ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนอธิการบดี และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองอธิการบดี
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า ในขณะที่ผู้ฟ้องคดี นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 10 มีนาคม2566 ผู้ฟ้องคดีได้พ้นจากตำแหน่งธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แล้วคำสั่งแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีและคำสั่งแต่งตั้งรองอธิการบดีที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี จึงไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ฟ้องคดีแต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งดังกล่าว
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนมติของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่แต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่3 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และที่แต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่27 เป็นรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยรามคำแหงต่อศาลได้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
แม้ผู้ฟ้องคดีจะอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลขอให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมครั้งที่21/2565 เมื่อวันที่ 8พฤศจิกายน2565 ที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 362/2565 และศาลปกครองกลางในคดีดังกล่าวได้มีคำสั่ง ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์2566 ให้ทุเลาการบังคับตามมติและคำสั่งที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิกรบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่นก็ตาม
ผู้ฟ้องคดีก็ชอบที่จะไปดำเนินการบังคับคดีตามคำสั่งของศาลปกครองกลางดังกล่าวที่ให้ทุเลาการบังคับตามมติและคำสั่งที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว จึงหาเป็นเหตุที่จะทำให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จากมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่แต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่3 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และที่แต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่27 เป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่อย่างใดไม่
กรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติแต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี และแต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 27 เป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำให้เกิดการทับซ้อนของอำนาจหน้าที่ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และกระทบกระเทือนถึงสิทธิต่างๆ ของผู้ฟ้องคดีในฐานะอธิการบดี นั้น เห็นว่า
ความเดือดร้อนเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างเป็นเหตุอันเกิดจากมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งผู้ฟ้องคดีก็ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ บ.362/2565 ไว้แล้ว และคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น
2.2 ฟ้องข้อหาที่สามและข้อหาที่สี่ ศาลเห็นว่า การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 25 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2541ส่วนการแต่งตั้งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 18 (4)
แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2541
ดังนั้น คำสั่งพิพาทที่ออกโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่2 จึงมีสถานะเป็นหนังสือแจ้งมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 7/2566 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์2566 ที่แต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และที่แต่งตั้งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง จำนวน 24 คน เท่านั้น คำสั่งพิพาทจึงไม่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี อันจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีข้อหาที่สามและข้อหาที่สี่ต่อศาลตามมาตรา 4 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เช่นกัน
การที่ศาลปกครองขั้นต้น มีคำสั่งจำหน่ายคำฟ้องข้อหาที่หนึ่งและข้อหาที่สอง และไม่รับคำฟ้องข้อหาที่สามและข้อหาที่สี่ไว้พิจารณา กับให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยบางส่วนจึงมีคำสั่งแก้คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนี้เกิดจากการพบว่า นายสืบพงษ์ใช้วุฒิการศึกษาปริญญาเอกจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่สำนักงานข้าราชการพลเรือน(กพ.)ไม่รับรองมาสมัครงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงตั้งแต่ปี2554และเป็นเหตุที่ทำให้มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีคำสั่งถอดถอนนายสืบพงษ์ ออกจากตำแหน่งอธิการบดี ด้วยข้อกล่าวหาร้ายแรง 3 ประการ คือ
1. ใช้วุฒิการศึกษาปริญญาเอก สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งอาจารย์ โดยวุฒิการศึกษาดังกล่าวไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.พ.
2. ปกปิดหรือไม่รายงานประวัติการถูกยึดทรัพย์ที่เกี่ยวพันกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ
3.ทูลเกล้าฯ ถวายฎีการ้องขอความเป็นธรรม ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ
มหาวิทยาลับรามคำแหง ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่นาย.สืบพงษ์ นำวุฒิการศึกษาที่ไม่ได้รับการรับรองจาก ก.พ. สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งอาจารย์ ถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติของการเป็นอาจารย์มาตั้งแต่ต้น อันเป็นการผิดเงื่อนไขสัญญาจ้างและผิดระเบียบและข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เกี่ยวข้อง มหาวิทยาลัยจึงได้บอกเลิกสัญญาจ้าง(หนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างที่ 0601/2851 ลงวันที่15 พฤศจิกายน 2565 )กับนาย.สืบพงษ์แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565
และมหาวิทยาลัยจะได้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายในประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป และกรณีนี้นับเป็นกรณีแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ใช้มติเลิกจ้างผู้บริหารมหาวิทยาลัยเพราะดำเนินการผิดกฎหมายและขัดจริยธรรมร้ายแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นวันที่ 6 ธันวาคม 2566 นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ได้ทำหนังสือชี้แจง ศาลปกครอง พร้อมสำเนาผลการพิจารณาและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เรื่องการพิจารณาคุณวุฒิ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ ว่า อว.มีมติไม่สามารถพิจารณาวุฒิ ดร.สืบพงษ์ ได้เนื่องจากการสืบค้นข้อมูลจาก “ACICS”ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่พบข้อมูลการได้รับการรับรองวิทยฐานะ
หนังสือฉบับดังกล่าว มีใจความว่า ตามที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 เรียกให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดทำคำชี้แจงว่า คณะอนุกรรมการด้านการพิจารณาคุณวุฒิผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา ได้พิจารณาคำร้องของผู้ฟ้องคดี ที่ขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พิจารณาคุณวุฒิ Doctor of Business Administration จาก Pacific Stater University ประเทศสหรัฐอเมริกา เที่ยบเท่าการศึกษาระดับใด ตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษาของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่
หากได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว ให้ส่งสำเนาผลการพิจารณาและเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดยื่นต่อศาล ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งครบกำหนดยื่นคำชี้แจงในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 และได้ยื่นคำขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดเดิม นั้น
ข้าพเจ้า นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ตำแหน่ง ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นดังต่อไปนี้
1. สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีหน้าที่สนับสนุนการขับเคลื่อนปฏิรูปการอุดมศึกษา กำกับและเร่งรัดการปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนด้านการอุดมศึกษา จัดทำข้อเสนอนโยบายและแผนด้านการอุดมศึกษาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังของประเทศ จัดการศึกษาตลอดชีวิต จัดทำมาตรฐานการอุดมศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา รวมทั้งวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาการอุดมศึกษา สนับสนุนการกำกับ ตรวจสอบและติดตามการประเมินผลมตฐานการอุดมศึกษา
2. ขอชี้แจงว่าคณะอนุกรรมการด้านการพิจารณาคุณวุฒิผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา ได้พิจารณาคำร้องของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พิจารณาคุณวุฒิ Doctor of Business Administration จาก Pacific Stater University ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า เทียบเท่าการศึกษาระดับใด ตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษาของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสร็จเรียบร้อยแล้วในการประชุมครั้งที่ 1/ 2566 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566
คณะอนุกรรมการด้านการพิจารณาคุณวุฒิผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา ได้พิจารณาข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและการสืบค้นข้อมูลจากองค์การที่มีหน้าที่รับรองวิทยฐานะระดับหลักสูตรด้านบริหารธุรกิจ พบว่า Accrediting Council for Independent Colleges and schools (ACICS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองวิทยฐานะของสถาบันอุดมศึกษาในสหรัฐอเมริกา ให้การรับรองวิทยฐานะระดับสถาบันของ Pacific Stater University ให้จัดมีการเรียนการสอนในระดับชั้นปริญญาตรีและปริญญาโท
แต่ไม่ปรากฏข้อมูลการได้รับการรับรองวิทยฐานะเพื่อให้จัดการเรียนการสอนระดับปริญญาเอก ในช่วงระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีศึกษาและไม่ปรากฎข้อมูลการรับรองวิทยฐานะระดับหลักสูตร ของหลักสูตร Doctor of Business Administration จากองค์การที่มีหน้าที่รับรองด้านบริหารธุรกิจ
ดังนั้น จึงมีมติว่า ไม่สามารถพิจารณาคุณวุฒิ Doctor of Business Administration จาก Pacific Stater University ประเทศสหรัฐอเมริกา ของผู้ฟ้องคดีได้เนื่องจากไม่ปรากฎข้อมูลการได้รับการรับรองวิทยฐานะของคุณวุฒิดังกล่าวในช่วงระยะเวลาที่ผู้ฟ้องคดีศึกษา