วันนี้(24 พ.ค.67) มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนามูลนิธิสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย โดยมี นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานมูลนิธิฯเป็นประธานที่ประชุม เพื่อพิจารณาคำร้องของนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ที่ขอให้ทบทวนมติคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมาในการต่อสัญญาจ้างตำแหน่ง ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา ตามมติเดิมให้ต่อสัญญาจ้างเพียง 1 ปี และไม่ขึ้นค่าตอบแทน เป็นการขอให้ต่อสัญญาเป็น 2 ปี และขึ้นค่าตอบแทนให้ด้วย
แหล่งข่าวในที่ประชุมเปิดเผยว่า ที่ประชุมได้พิจารณากันอย่างกว้างขวาง มีความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย โดยฝ่ายแรกเห็นว่าควรให้คงมติเดิมเอาไว้ เพราะการกลับมติไปมาจะทำให้คณะกรรมการฯถูกมองว่ากลับไปกลับมา และที่สำคัญนายประสงค์ ได้พ้นสภาพการจ้างไปแล้ว เนื่องจากในสัญญาข้อตกลงการว่างจ้างนั้นสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา
โดยฝ่ายที่เห็นควรให้คงมติเดิม ระบุว่า ในข้อตกลงการจ้างข้อ 5 ระบุชัดเจนว่า การสิ้นสุดของสัญญาข้อ 5.6 ระบุชัดว่าหากผู้ว่าจ้างต้องการต่อสัญญาจ้างกับผู้จ้างต่อไปให้ดำเนินการทำสัญญาฉบับใหม่ให้เสร็จสิ้นก่อนสัญญาว่าจ้างสิ้นสุดไม่น้อยกว่า 90 วัน ซึ่งก็ล่วงเลยมาแล้ว
อีกทั้งในสัญญาข้อ 4.1 ยังระบุให้ผู้รับจ้างต้องเสนอแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ทั้งผลลัพธ์และระบุตัวชี้วัด รวมถึงเกณฑ์ให้คะแนนให้ผู้ว่าจ้างเห็นชอบด้วยแต่ก็ไม่มีการทำมาเสนอแต่อย่างใด
ดังนั้นเหตุผลในการต่อให้ 1 ปีนั้น ก็มีความเป็นธรรมกับนายประสงค์อยู่แล้ว เนื่องจากต้องการให้กระบวนการสรรหา ผอ.สถาบันอิศราเข้าสู่หลักเกณฑ์ทั่วไป คือเปิดให้มีการรับสมัครและแข่งขันกันเพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า นายประสงค์ มีความรู้ความสามารถควรจะต่ออายุให้อยู่ในตำแหน่งอีก 2 ปี และปรับขึ้นเงินเดือนให้ เพราะสามารถสร้างรายได้ให้กับสถาบันอิศรา มีผลงานเด่นชัด ถ้าไปต่อเพียง 1 ปีจะไม่เป็นธรรมกับนายประสงค์
ส่วนการกลับมตินั้นมีกรรมการบางรายมองว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะมติครม. หากรู้ว่า ผิดภายหลังก็ยังมีการทบทวนกันได้เสมอ
แหล่ง่ขาวรายงานบรรยากาศต่ออีกว่า การถกเถียงทั้งสองฝ่ายเป็นไปอย่างเข้มข้น ทำให้นายมานิจ ในฐานะประธานในที่ประชุมได้สรุปว่า จะต้องหาข้อสรุปให้เกิดความชัดเจนถ้าพูดกันไปมาก็ไม่จบ แต่ถ้าจะให้โหวตจะทำให้เกิดภาพที่ไม่ดี นอกจากนี้กรรมการบางคนที่เข้ามาใหม่ คือ ตัวแทนของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ยังไม่สามารถโหวตได้ตามกฎหมายเนื่องจากยังไม่ได้จดทะเบียนแก้ไขต่อกระทรวงมหาดไทย
"จึงสรุปว่าเสียงส่วนใหญ่ต้องการให้กลับมติเห็นด้วยตามคำร้องของนายประสงค์คือต่ออายุอีก 2 ปีและขึ้นค่าตอบแทนให้ พร้อมกับมีมติให้ตั้งคณะกรรมการ 5 คน ไปร่างหลักเกณฑ์การเข้าสรรหาผอ.สถาบันอิศรา เพื่อใช้ในอีก 1 ปีข้างหน้า" แหล่งข่าวระบุ
ขณะที่ตัวแทนของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย 3 คน ที่เข้าร่วมเป็นกรรมการ ประกอบด้วย น.ส.น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวฯ นายชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม รองเลขาธิการฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวฯ และนายวิษณุ นุ่นทอง กรรมการสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวฯ ซึ่งเป็นกรรมการมูลนิธิฯใหม่ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าให้ขอบันทึกไว้ว่า “ไม่เห็นด้วยกลับมติดังกล่าว”
จากนั้นประธานในที่ประชุมได้เชิญนายประสงค์ เข้ามารับทราบ มติต่ออายุนายประสงค์อีก 2 ปี แต่มีเงื่อนไขใหม่ให้ปฏิบัติตาม เช่น หากสถาบันอิศราจะรับโครงการที่ได้เงินสนับสนุนใดๆ จะต้องแจ้งหรือขออนุมัติจากบอร์ดมูลนิธิสื่อมวลชนแห่งประเทศไทยก่อน เพราะบางโครงการถูกมองว่ามีประโยชน์ทับซ้อน เช่น การรับงานประชาสัมพันธ์ให้กับสำนักงาน ปปช. ซึ่งกระทบต่อการตรวจสอบของสถาบันอิศราเอง เพราะจะทำให้เกิดความเกรงใจไม่ตรวจสอบ ปปช. หรือบางองค์กรธุรกิจสนับสนุนงบประมาณให้สถาบันอิศรา ก็อาจมีวาระซ่อนเร้น ไม่ต้องการให้สถาบันอิศรา เสนอข่าวตรวจสอบ ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับการใช้ชื่ออิศราที่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง
กรรมการบางรายยังมีความเห็นว่า ควรทบทบทวน นิยามความสำเร็จขององค์กร ที่ไม่แสวงหาผลกำไรเป็นตัวนำ เพราะจุดเริ่มต้นของสถาบันอิศรา เป็นองค์กรวิชาชีพมาจากสมาคมนักข่าว นอกจากนี้ การฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆระหว่างผู้บริหารสื่อ หัวหน้าหน่วยงานภาคเอกชน ส่วนราชการ นอกจากเน้นประสิทธิภาพความรู้ อย่าเน้นเรื่องคอนเนคชันมากเกินไปอย่างที่มีเสียงวิจารณ์
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา ได้ทำหนังสือถึง นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานคณะกรรมการมูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการบริหารสถาบันอิศรา ขอให้ทบทวนมติ เรื่องการพิจารณาค่าตอบแทนและต่อสัญญาจ้าง ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา ซึ่งกรรมการทั้งสององค์กรได้หารือกันไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีมติให้ต่อสัญญาจ้างนายประสงค์เพียง 1 ปี และไม่เพิ่มค่าตอบแทน
ทั้งนี้ นายประสงค์ ให้เหตุผลว่า มติดังกล่าวไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะตนเองมีผลงานในการหารายได้เข้าสถาบันอิศราเป็นจำนวนมากและสามารถหารายได้เป็นบวกให้กับองค์กรมาโดยตลอด สถาบันเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีผู้สนับสนุนรายใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก
“ดังนั้นการที่คณะกรรมการฯ ต่อสัญญาให้กับข้าพเจ้าเพียง 1 ปี เสมือนกับข้าพเจ้าได้บริหารงานบกพร่องไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เสมือนเหมือนกับเป็นการลงโทษข้าพเจ้าที่ทำงานบกพร่อง เพราะการต่อสัญญาในแต่ละครั้งในช่วงที่ผ่านมาได้ต่อสัญญาครั้ง ละ 2 ปี มาตลอด ดังนั้น จึงขอเรียนให้คณะกรรมการฯ กรุณาทบทวนมตีในการต่อสัญญาจ้างให้กับข้าพเจ้าไม่น้อยกว่าสัญญาเดิมที่ผ่านมาและ พิจารณาเพิ่มค่าตอบแทนให้กับข้าพเจ้าด้วย”