เด็กนอกระบบการศึกษาในไทย ไม่ใช่แค่ปัญหาความยากจน แต่เป็นผลพวงจากความรุนแรงเชิงโครงสร้างและบาดแผลทางใจที่สั่งสมมายาวนาน ผู้เชี่ยวชาญชี้ทางออกผ่านการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและการปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม พร้อมเสนอแนวทางแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
ในขณะที่การศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมและเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรได้รับ แต่ในความเป็นจริง ยังมีเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่หลุดออกจากระบบการศึกษา
นายทรงวุฒิ อัศวพฤกษชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเด็กนอกระบบจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชี้ให้เห็นว่า ปัญหานี้มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับปัจจัยหลายด้าน ไม่ใช่เพียงแค่ความยากจนหรือการขาดโอกาสเท่านั้น
"การทำงานด้านเด็กนอกระบบเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยาก" นายทรงวุฒิกล่าว พร้อมอธิบายว่า จากการศึกษาเชิงลึก พบว่าเด็กนอกระบบการศึกษาส่วนใหญ่มี "ภาวะชะงักงันทางการเรียนรู้" ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต
ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ความรุนแรงในครอบครัว หรือการถูกกีดกันจากสังคม บาดแผลเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อการเรียนรู้ แต่ยังกระทบต่อการพัฒนาตนเองในทุกมิติ
นายนเรศ สงเคราะห์สุข รองหัวหน้าโครงการหนุนเสริมทางวิชาการและการจัดการความรู้สำหรับการพัฒนาเยาวชนนอกระบบการศึกษา กสศ. เสริมว่า จากการลงพื้นที่ทำงานใน 40 พื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับเยาวชนนอกระบบการศึกษากว่า 1,000 คน พบว่าปัญหาของเด็กนอกระบบสะท้อนความบกพร่องเชิงโครงสร้างในระบบการศึกษาและสังคมไทยอย่างชัดเจน
ระบบการศึกษาที่เน้นมาตรฐานเดียวและขาดความยืดหยุ่นกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ นายนเรศเปิดเผยว่า เด็กหลายคนต้องเผชิญกับ "การบูลลี่" จากทั้งครู เพื่อน และแม้แต่คนในครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาอันดับต้นๆ
"ยกตัวอย่างเช่น กรณีเด็กที่ถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะมาสาย เนื่องจากต้องไปเยี่ยมพ่อในเรือนจำ หรือการถูกดูถูกด้วยถ้อยคำที่ลดทอนศักดิ์ศรีจากคุณครู"
นายทรงวุฒิ เล่าว่า แม้จะมีนโยบายคุ้มครองสิทธิเด็ก แต่ในทางปฏิบัติ โรงเรียนหลายแห่งยังคงเลือกที่จะกีดกันเด็กที่มีพฤติกรรม "นอกกรอบ" ออกจากระบบ โดยเฉพาะในกรณีการตั้งครรภ์ในวัยเรียนหรือการใช้สารเสพติด
น้องจอย: เมื่อการเลี้ยงดูที่เข้มงวดนำไปสู่การหลุดจากระบบ
น้องจอยเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะ แต่การเลี้ยงดูที่เข้มงวดเกินไปกลับทำให้เธอรู้สึกขาดอิสระ นำไปสู่การแสวงหาเสรีภาพนอกบ้าน และจบลงด้วยการตั้งครรภ์ในวัยเรียน
แม้จะพยายามเรียนต่อผ่านการศึกษานอกระบบ แต่ปัญหาส่วนตัวและสภาพแวดล้อมทำให้เธอหันไปพึ่งสารเสพติด
น้องอิงเมย์: ความยากจนและภาระครอบครัว
เด็กชาติพันธุ์ลาหู่ที่ต้องกลายเป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย การทำงานหนักเกินกำลังนำไปสู่การใช้สารเสพติด และติดอยู่ในวงจรของปัญหาที่ไม่สามารถหาทางออกได้
น้องเอ: ความท้าทายของเด็ก LGBTQ+ ในชุมชนแออัด
เด็ก LGBTQ+ วัย 15 ปี ที่ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เผชิญกับความไม่มั่นคงทางที่อยู่อาศัยและการถูกตีตราจากสังคม
นายนเรศอธิบายว่า เมื่อหลุดออกจากระบบการศึกษา เด็กเหล่านี้ต้องเผชิญกับ "นิเวศที่เปราะบาง" ทั้งการเข้าถึงยาเสพติดที่ง่ายขึ้น ความไม่มั่นคงในชีวิต และการขาดที่พึ่งพิง
ในบางพื้นที่ เด็กสามารถเข้าถึงสารเสพติดได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาทีผ่านช่องทางออนไลน์ บางคนต้องซ่อนตัวจากสังคม เช่น กลุ่มเด็กที่เลือกไปอยู่ในป่าช้าเพราะรู้สึกปลอดภัยกว่าการอยู่ในชุมชนทั่วไป
นายทรงวุฒิและนายนเรศเห็นตรงกันว่า การแก้ไขปัญหาต้องดำเนินการในหลายมิติ:
1. การเยียวยาบาดแผลทางใจ
2. การปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม
3. การพัฒนาระบบสนับสนุนในชุมชน
4. การสร้างทางเลือกทางการศึกษา
"หากเราต้องการเห็นเด็กเหล่านี้กลับเข้าสู่สังคมได้อย่างมั่นคง เราต้องมองพวกเขาในมิติที่หลากหลาย ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพจิต และสังคม" นายทรงวุฒิกล่าว ขณะที่นายนเรศเสริมว่า "เราไม่ได้ต้องการแค่ระบบการศึกษาใหม่ แต่ต้องการระบบสังคมใหม่ที่รองรับเด็กทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหรือมาจากไหน"
การแก้ปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษาจึงไม่ใช่เพียงการนำพวกเขากลับเข้าสู่ห้องเรียน แต่เป็นการสร้างระบบสังคมใหม่ที่เปิดกว้างและเป็นธรรมสำหรับทุกคน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ในการลดความเหลื่อมล้ำ ปรับนโยบายสาธารณะ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเด็กทุกคน
การเปิดใจของสังคมที่จะมองเห็นเด็กนอกระบบในฐานะมนุษย์ที่มีศักยภาพและสมควรได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม จะเป็นก้าวสำคัญสู่การสร้างสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทยในอนาคต