รัฐบาลแจงใช้งบประมาณขาดดุลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นผลดีระยะยาว แม้กระทบอันดับการแข่งขันของ IMD ชี้คะแนนยังสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยโลก ย้ำเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง ไม่ตกต่ำเหมือนก่อนปี 57
-26 พ.ค. 2561- พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดย IMD ประจำปี 2561 ซึ่งประเทศไทยมีอันดับลดลงจากอันดับที่ 27 เมื่อปีที่แล้ว เป็น อันดับที่ 30 ในปีนี้ ว่า
“สาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากการใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลของรัฐบาล เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้กระทบต่อปัจจัยการประเมินด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ โดยเชื่อว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวการลงทุนนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม”
ขณะที่ประสิทธิภาพของรัฐเรื่องอื่น ๆ ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก เช่น การแก้ไขกฎระเบียบและปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐให้มีความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจ การปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อัตราภาษีการบริโภค การสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ฯลฯ
ส่วนปัจจัยการประเมินอีก 3 ด้าน คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะสาธารณูปโภคพื้นฐาน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากการลงทุนของรัฐบาล มีอันดับดีขึ้น และด้านสภาวะเศรษฐกิจกับด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจนั้น มีอันดับคงเดิม
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าแม้ว่าอันดับโดยรวมของไทยจะลดลง เป็นทิศทางเดียวกับประเทศอื่นในอาเซียน แต่คะแนนดิบที่ได้รับคือ 79.450 ซึ่งยังคงสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของโลกที่ 76.61 และอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซียเช่นเดียวกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น ด้านสังคม การศึกษา และสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและความจำเป็นในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะช่วยเสริมให้อันดับของไทยดีขึ้นต่อไป
“นายกฯ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นักการเมืองบางคนวิจารณ์ว่านายกรัฐมนตรีไม่มีพื้นฐานการศึกษาด้านเศรษฐกิจ และ 4 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศยังโตไม่มากนัก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ว่า รัฐบาลนี้ทำงานเป็นทีมและมีทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง มีผลงานที่ชัดเจน ทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ดิ่งต่ำสุดและติดลบในช่วงก่อนปี 2557 ขึ้นมาเกือบ 5% และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก จึงอยากเตือนว่าไม่ควรออกมาพูดเช่นนี้ เพราะสุดท้ายจะกลับเข้าตัวเอง”