อภิปรายไม่ไว้วางใจ เดือด “บิ๊กตู่” ตอกกลับ 'วิโรจน์' ปมโจมตีวัคซีนโควิด

17 ก.พ. 2564 | 10:47 น.

'บิ๊กตู่' ตอกกลับ 'ส.ส.วิโรจน์ พรรคก้าวไกล' ปมอภิปรายไม่ไว้วางใจถล่มวัคซีนโควิด ระบุ ไม่อยากต่อความยาว สาวความยืด จี้รับผิดชอบคำพูดด้วย


วันที่ 17 ก.พ. ที่รัฐสภา ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือ ศึกซักฟอก ในช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงหลังการอภิปรายของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ว่า จะตอบเท่าที่จะตอบ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด และก็ไม่ใช่นักโต้วาที 

ทั้งนี้ในประเด็นการบริหารเศรษฐกิจและโควิด รู้ความเดือดร้อนของประชาชนดี ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วไม่รู้ก็คงเป็นไปไม่ได้และอาจรู้มากกว่า เพราะมีข้อมูล ไม่ได้เปิดโซเซียลอย่างเดียว แต่เอาข้อมูลทั้งหมดมาบริหารจัดการไม่ได้มีอำนาจแล้วสั่งทั้งหมดได้เลย แต่ฟังหมอและฟังกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พร้อมดูมาตรการตลอดจนการให้ได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด ไม่ได้ต้องการให้ช้าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามสถานการณ์โควิดย้ำว่าเราทำได้ดีกว่าหลายประเทศ แต่เรายังเผชิญความเดือดร้อนกันอยู่ ซึ่งยืนยันจะทำให้ดีขึ้นพร้อมดูแลทุกภาคส่วน

อภิปรายไม่ไว้วางใจ เดือด “บิ๊กตู่” ตอกกลับ \'วิโรจน์\' ปมโจมตีวัคซีนโควิด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เรื่องวัคซีนนั้นก็ต้องดูผลที่ออกมาด้วย โดยย้ำว่าเป็นการฉีดวาระฉุกเฉินไม่ได้ฉีดปกติเหมือนไข้หวัดใหญ่ จึงขอให้ระมัดระวังด้วย อย่างไรก็ตามสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นนั้นจะทบทวนโลกไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียวแต่เราสามารถควบคุมได้เป็นระยะมาตลอดหลังจากนี้ก็ยังต้องแก้ไขกันต่อไป และยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นั่งรอเฉยๆ และไม่ได้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม 

ดังนั้นถ้าพูดกันแต่ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่เกิดอะไรใหม่ ซึ่งตนมีความเป็นห่วงในการพูดเรื่องวัคซีนจะทำให้เป็นปัญหา โดยไม่อยากให้เอาเรื่องนี้มาเป็นปัญหาการเมือง ดังนั้นต้องระมัดระวังและรับผิดชอบกันด้วย ขออย่าให้มีปัญหา ถ้ามีปัญหาจำคำพูดตนไว้ด้วยว่าต้องรับผิดชอบ ถ้าอะไรที่ตกลงไว้แล้วไม่ได้ และสาเหตุมาจากตรงนี้ก็ต้องรับผิดชอบด้วย โดยต้องเห็นใจคนทำงานด้วยไม่ได้ทำงานเช้าชามเย็นชาม แต่ต้องฟังทุกฝ่าย ส่วนวัคซีนจะช้าหรือเร็วเกินไปนั้นก็ให้ฟังรมว.สาธารณสุข ชี้แจง พร้อมย้ำว่ารับฟังทุกภาคส่วนอะไรทำให้เกิดปัญหาขอร้องอย่าพูดอีกเลยเวลานี้ 

“วันนี้ผมตอบท่านด้วยความสบายใจ และยืนยันว่าทำดีที่สุดแล้วที่ทำได้ในเวลานี้และอาจทำดีกว่านี้ถ้าสถานการณ์ดีกว่านี้ ขณะเดียวกันหลายเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทยเวลานี้โดยเฉพาะช่วงโควิด ซึ่งการพูดมันง่าย แต่เวลามาทำงานไม่รู้เป็นอย่างไร แต่พูดเร็ว ดูดี ดูเก่ง หากมาทำดูเองจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเลือกวัคซีนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศ”นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันวันนี้ได้รับข้อมูลมาว่าประชาชนคนไทยอยากฉีดวัคซีน 80% และมีอีก 10% ที่ไม่อยากฉีด ส่วนอีก 10% คือคนที่ลังเลและไม่แน่ใจว่าผู้อภิปรายนั้นอยู่ในกลุ่มที่ไม่อยากฉีดหรือลังเลหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องวัคซีนนั้นทุกประเทศไม่ได้สั่งจองมาวันเดียว แต่ทยอยเข้ามา โดยวันหน้าถ้าเราผลิตในประเทศได้เองก็จะดีขึ้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่า มีการยืนยันจากสถาบันที่เกี่ยวข้องจากต่างประเทศ ระบุว่าการใช้หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันได้เกิน 90.6 % จึงต้องใช้ให้ถูกต้อง คนที่ไม่ชอบใส่ แม้ไม่รักตัวเองก็ควรจะต้องรักคนอื่นด้วย จึงต้องพึ่งพาหลายอย่างไปพร้อมๆกัน และระหว่างรอก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลย สิ่งที่ทุกคนน่าจะร่วมยินดีไปด้วยคือประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนทดลองในมนุษย์ได้แล้ว โดยเฟสแรกจะเริ่มในวันที่  1 มีนาคม 2564 นี้ โดยจะทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 210 คน ซึ่งเป็นการพัฒนาวัคซีนของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยร่วมมือระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม 

อภิปรายไม่ไว้วางใจ เดือด “บิ๊กตู่” ตอกกลับ \'วิโรจน์\' ปมโจมตีวัคซีนโควิด

ซึ่งวัคซีนดังกล่าวจะเป็นวัคซีนเชื้อตาย ที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ผลข้างเคียงน้อยสามารถเชื่อใจได้ สามารถเก็บรักษาได้ง่าย โดยเราคาดหวังว่าจะสามารถผลิตได้ 25-30 ล้านเข็มต่อปี ถือเป็นอนาคตของประเทศไทย สำหรับเฟสสองจะทดลองกับอาสาสมัครเพิ่มอีก 250 คน โดยจะเริ่มได้ในเดือน เม.ย.-พ.ค. และเฟสสาม ซึ่งต้องไปทำกับประเทศที่มีการติดเชื้อจำนวนมาก ซึ่งจะเริ่มได้ในช่วงปลายปีนี้ ถ้าสามารถทำได้จริงภายใน 1 ปีก็จะสามารถจดทะเบียนได้ 

จึงต้องขอชื่นชมคณะวิจัยวัคซีนของไทย นอกจากจะสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้ก็ยังจะสามารถสร้างรายได้ขึ้นมาอีกจำนวนมาก ทั้งนี้วัคซีนดังกล่าวเราได้ส่งวัคซีนดังกล่าว ไปทดสอบความปลอดภัยในหนูทดลองของประเทศอินเดีย ซึ่งพบว่าปลอดภัยดี รวมทั้งการทดสอบกับหนูของประเทศสหรัฐอเมริกาก็ปลอดภัย ถือเป็นข่าวดีมากสำหรับประเทศไทยนอกจากเราจะมีการนำเข้าวัคซีนจากประเทศจีนแล้ว เราก็จะมีวัคซีนที่ผลิตเองได้ในอนาคตอีก 3 แหล่ง คือทั้งซื้อการผลิตในโรงงานที่มีอยู่ และการวิจัยพัฒนา

“รัฐบาลต้องคิดในภาพกว้างทั้งหมดเพราะมีความยึดโยงกัน ทั้งเรื่องของสุขภาพ เศรษฐกิจ ทั้งในและนอกประเทศ ถ้าผมเอาตัวเลขมาพูดก็จะตีกันตรงนั้นตรงนี้ ยอมรับว่าเป็นการทำงานที่ยากมากพอสมควร แต่ผมก็พร้อมที่จะรับฟังและขอบคุณในคำแนะนำจากทุกคน”นายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนการอภิปรายของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข โดยเน้นไปที่ประเด็นการบริหารจัดการวัคซีนที่ผิดพลาด เอาประชาชนไปกระจุกเสี่ยงจากวัคซีนแหล่งเดียว ไม่สนใจคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ ขาดความโปร่งใส ขัดขวางกลไกการตรวจสอบ ทั้งที่เงินทุกบาทที่ซื้อวัคซีนล้วนเป็นเงินภาษีของประชาชน และการฉีดวัคซีนล่าช้าจะส่งผลให้ปัญหาปากท้องลากยาวไม่จบสิ้น ประชาชนทุกข์ยากแสนสาหัส คนตกงาน สูญเสียอาชีพ รายได้ฝืดเคือง และทำมาหากินด้วยความยากลำบาก

อภิปรายไม่ไว้วางใจ เดือด “บิ๊กตู่” ตอกกลับ \'วิโรจน์\' ปมโจมตีวัคซีนโควิด

นายวิโรจน์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน รู้อยู่ตลอด เพราะรัฐบาลนี้เป็นคนคาดการณ์ว่าหากฉีดวัคซีนล่าช้า 1 เดือน ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะเท่ากับ 2.5 แสนล้านบาท ดังนั้นทุกวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศ ประเทศชาติจะเสียหายเป็นมูลค่า 8,300 ล้านบาท คิดเป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ 347 ล้าน เป็นความผิดที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และนายอนุทิน จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของการป้องกันโรค แต่ความสำคัญ คือ การกอบกู้เศรษฐกิจ และเยียวยาปัญหาปากท้องของคนไทยทั้งประเทศ จึงไม่แปลกใจที่เห็นประเทศอื่นเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของเขา ประเทศในอาเซียนก็เริ่มฉีดวัคซีนกันแล้ว อาทิ อินโดนีเซีย เริ่มฉีดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 64 เมียนมา และลาว เริ่มฉีดไปแล้วเมื่อวันที่ 27 ม.ค.64 กัมพูชา เริ่มฉีดไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 64

"พอมาดูแผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แต่ถอนหายใจ...จากการนำเสนอของกรมควบคุมโรค ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 พ.ย.63 ได้กำหนดแผนการจัดหาวัคซีนเอาไว้ 65 ล้านโดส ภายใน 3 ปี นี่คือแผนเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์ วางเอาไว้ให้กับประชาชนคนไทย ตามแผนเดิม ปี 64 จะฉีดให้กับประชาชนแค่ 11 ล้านคน ปี 65 ฉีดอีก 11 ล้านคน และปี 66 ฉีดอีก 10 ล้านคน นี่แสดงว่าความตั้งใจเดิมของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นวางแผนการฉีดวัคซีนได้ล่าช้ามากๆ กว่าจะครอบคลุมประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศ หรือ 32.5 ล้านคน นี่ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี 

แล้วอย่างนี้จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ คืนปากท้องและการดำเนินชีวิตที่ใกล้เคียงกับปกติได้อย่างไร เรื่องสำคัญที่ทั่วโลกตื่นตัว เป็นความอยู่รอดของประชาชนทั้งประเทศ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับทำงานหวานเย็น เช้าช้อนเย็นช้อน แถมยังเป็นช้อนกาแฟ จากแผนหวานเย็นเดิม ที่รัฐบาลวางแผนจะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชน 50% ณ สิ้นปี 66 เพิ่งจะเร่งขึ้นมาเป็นสิ้นปี 64 ในวันที่ 5 ม.ค. 64 นี้เอง ผมก็ต้องตั้งคำถามให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบอยู่ดีว่ามาปรับแผนแบบปุ๊บปั๊บแบบนี้ จะหาวัคซีนมาได้อย่างไร" นายวิโรจน์ กล่าว

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงกรณีการสั่งซื้อวัคซีนจากซิโนแวกของรัฐบาลด้วยว่า เมื่อรัฐบาลเลือกที่จะเอาเงินภาษี 1,228 ล้านบาท ไปซื้อวัคซีนจากจีน มาแก้ขัดแล้วเหตุใดถึงไม่ตัดสินใจซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีเดียวกัน และได้รับการขึ้นทะเบียนสำหรับใช้งานทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 63 และมีผลการทดสอบเฟส 3 ในคนสูงถึง 79.34% และมีผลการทดสอบที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีประสิทธิภาพสูงถึง 86% และเป็นวัคซีนหลักที่ประเทศจีนใช้ฉีดให้กับประชาชน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเลือกซื้อวัคซีนจากซิโนแวก ที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีนายทุนรายหนึ่งเข้าไปลงทุนด้วยเม็ดเงิน 1.54 หมื่นล้านบาท เพื่อถือหุ้น 15% ซึ่ง ณ ขณะที่มีมติ ครม.ให้ซื้อวัคซีนซิโนแวก ในวันที่ 5 ม.ค. 64 วัคซีนซิโนแวกยังไม่ได้มีผลการทดสอบในเฟส 3 แต่อย่างใด

อภิปรายไม่ไว้วางใจ เดือด “บิ๊กตู่” ตอกกลับ \'วิโรจน์\' ปมโจมตีวัคซีนโควิด

นายวิโรจน์ กล่าวว่า อะไรทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ใจกล้าขนาดที่จะไม่ให้ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ขณะที่หลายๆ ประเทศ ต่างก็เข้าร่วม โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า "COVAX เป็นโครงการจัดหาวัคซีนระดับโลก ที่มุ่งทำให้ทุกๆ ประเทศเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็ว และเท่าเทียมกัน โดยไม่จำกัดระดับรายได้ของประเทศ" ซึ่งประเทศในอาเซียนที่ไม่เข้าร่วมกับ COVAX มีอยู่ประเทศเดียว คือ ประเทศไทย แต่ไปกระจุกความเสี่ยง รอการผลิตวัคซีนแอสตราเซนเนกา จากบริษัทเอกชนที่ไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า ข้ออ้างที่ออกมาบอกกันว่าหากประเทศไทยจะเข้าร่วม COVAX จะต้องนำเงินไปจ่ายล่วงหน้า ถ้าวัคซีนไม่สำเร็จก็จะไม่ได้เงินคืน จึงเกิดคำถามว่า เหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ ถึงได้กล้าอนุมัติให้นำเอาเงิน 2,379 ล้านบาท ไปจองวัคซีนล่วงหน้ากับแอสตราเซนเนกา เงื่อนไขก็เหมือนกันคือ ถ้าวัคซีนไม่สำเร็จก็จะไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งในเวลานั้น แอสตราเซนเนกา ยังไม่ทราบผลการทดลองของวัคซีนในเฟส 3 เลยด้วยซ้ำ

นายวิโรจน์ ยังอภิปรายย้ำด้วยว่า เจตนาของตนเองไม่ใช่ต้องการให้ประเทศไทยไปพึ่งพา COVAX ทั้งหมด แต่การที่ปฏิเสธ COVAX ไปเลย ทั้งๆ ที่มีถึง 172 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมกัน แต่รัฐบาลกลับเอาประชาชนทั้งประเทศไปเดิมพันกับวัคซีนแอสตราเซเนกา จะเอาแต่แอสตราเซเนกาเจ้าเดียว แถมเป็นแอสตราเซเนกา Made in Thailand ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชนที่เพิ่งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมา และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อนเสียด้วย เป็นการกระทำที่เสี่ยงมากๆ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ประชาชนที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกาอยู่หรือไม่ เพราะที่ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส และสวีเดน ประกาศไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนแอสตราเซเนกากับผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากวัคซีนแอสตราเซนเนกามีจำนวนผลการทดสอบวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่มากพอ และประเทศอื่นในยุโรป อาทิ เดนมาร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ ต่างก็ทยอยออกมาประกาศจำกัดการใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยประเทศไทย มีผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป จำนวน 7.87 ล้านคน ซึ่งต้องใช้วัคซีนถึง 15.74 ล้านโดส

"ถ้าไม่เอาแอสตราเซนเนกา จะไปเอาวัคซีนอื่นที่ไหน ซิโนแวกก็มีแค่ 2 ล้านโดส COVAX ก็ไม่เข้าร่วม คือ พล.อ.ประยุทธ์ จะบังคับให้ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ต้องฉีดแอสตราเซนเนกาเท่านั้นใช่หรือไม่" นายวิโรจน์ กล่าว