ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจาก “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” จะยื่นให้ป.ป.ช. ตรวจสอบเอาผิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมแล้ว อาจจะนำไปสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติ หรืออาจจะลงมติก็ได้
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 27-28 พ.ค.นี้ ว่า เป็นการพิจารณาพระราชกำหนด 2 ฉบับ และพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในวันที่ 31 พ.ค.- 2 มิ.ย.2564 โดยฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายเรื่องงบประมาณไว้แล้ว
และจากการที่ได้ศึกษา 6 ยุทธศาสตร์ในร่างงบประมาณไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และเป็นการจัดการจัดสรรงบประมาณแบบเก่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงเป็นอย่างยิ่ง จึงฝากเตือนไปยังรัฐบาล ว่าการใช้งบประมาณควรเป็นการใช้งบในการแก้ไขปัญหาของประเทศที่จำเป็น
ส่วนการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมตินั้น ขณะนี้ฝ่ายค้านมีข้อมูลเพียงพอที่จะเปิดอภิปรายแบบไม่ลงมติได้ แต่ขอหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านก่อน
ชงซักฟอกรัฐบาล
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติ ไม่มีข้อห้ามใดๆ ว่าทำไม่ได้ ตนจะเสนอพรรคร่วมฝ่ายค้านให้ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ ซึ่งมองว่าสมควรที่จะขอเปิดในช่วงนี้มากกว่า เพราะเห็นความล้มเหลวและข้อผิดพลาดบกพร่องอย่างรุนแรงในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ซึ่งการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถยื่นได้ปีละ 1 ครั้ง คือในแต่ละสมัยประชุมสามารถยื่นขอเปิดอภิปรายได้ และหากยื่นในช่วงนี้ อาจจะเห็นปรากฏการณ์พรรคฝ่ายรัฐบาลเห็นด้วย เพราะหากอุ้มชูกันไปไม่ได้ตายเอง แต่ตายทั้งประเทศ ตายทั้งการเมือง
“ปล่อยปะละเลยจนเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ทั้งที่รู้อยู่ แต่ปล่อยให้มีการระบาดของโรค โดยการ กระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เคยมีที่พี่น้องประชาชนจะตายคาบ้าน นั่นหมายความว่าระบบสาธารณสุขเราล้มเหลวมาก เกิดจากการกระทำ การบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ละเลยชีวิตคนนั้นมีค่า นอกจากความเสียหายด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิตแล้ว ระบบเศรษฐกิจพังพินาศหลายแสนล้านมากกว่าคดีจำนำข้าว กระทบประชาชนทุกคน” นพ.ชลน่าน ระบุ
ยื่นป.ป.ช.เอาผิดนายกฯ
ก่อนหน้านั้น ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน 7 พรรค นำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ประธานอนุกรรมการนโยบายสาธารณสุข พรรคเพื่อไทย, นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล, นายวิรัตน์ วรศสิริน รองหัว หน้าพรรคเสรีรวมไทย, นพ.เรวัต วิศรุตเวช รองหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ, นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้า พรรคพลังปวงชนไทย, นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เข้าชื่อร่วมกันยื่นหนังสือต่อประธาน ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวนและมีความเห็น
ต่อกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธาน ศบค. มีพฤติการณ์ไม่สุจริตส่อไปในทางทุจริต ไม่ถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และรู้เห็นหรือยินยอมให้ข้าราชการในปกครองใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 26, 47, 53, 55, 62,164, 234 และมาตรา 235, พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558, พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542, พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520, พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (1), (2) และฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
อ้างนายกฯทำผิดรธน.
นายประเสริฐ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้ประชาชนทุกคนได้รับการบริการทางด้านสาธารณสุขที่ครบถ้วนทั่วถึง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับดำเนินการบกพร่องในหลายๆ เรื่อง เช่น การจัดหาวัคซีนที่ไม่พอฉีดให้พี่น้องประชาชน ไม่มีวัคซีนทางเลือกให้ประชาชน อีกทั้ง มาตรฐานในการดูแลรักษาผู้ป่วย ทั้งผู้ป่วยที่บ้าน และการส่งต่อผู้ป่วย
ทั้งนี้นับตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 รัฐบาลบริหารประเทศโดยไม่ยึดประโยชน์ของชาติ นายกฯ และประธาน ศบค. ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล ไม่ยึดหลักนิติธรรม เห็นประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องสำคัญกว่าประโยชน์ของชาติและประชาชน ปล่อยให้ผู้ที่ตนเองแต่งตั้งและบุคคลใกล้ชิดมาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะกรณีการเกิดการกักตุนหน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์และการส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่างประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้หน้ากากอนามัยขาดตลาดและมีราคาแพง ซึ่งเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วนายกฯ กลับละเว้นไม่ตรวจสอบรัฐมนตรีและผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับ การทุจริต
ไม่เอาผิดรมต.ปมโควิด
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า การรับมือการระบาดของโรคทั้ง 3 รอบที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์จงใจไม่ดูแลให้ปฏิบัติตามกฎหมายและบังคับใช้กฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้เกิดการระบาดของโรค ตั้งแต่การระบาดรอบแรก ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการจัดแข่งขันชกมวยของกองทัพบกที่สนามมวยลุมพินี ฝ่าฝืนประกาศกระทรวงสาธารณสุข จนเกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์ และในการระบาดรอบสอง ได้เกิดกลุ่มก้อนใหญ่การแพร่ระบาด ที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร เพราะรัฐบาลปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจเข้มงวดกับปัญหาแรงงานต่างด้าวและการลัก ลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย
ส่วนการระบาดรอบ 3 ซึ่งเกิดการ แพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์อังกฤษจากแหล่งท่องเที่ยวย่านทองหล่อ ซึ่งประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรัฐมนตรีและส.ส.พรรครัฐบาล ได้ไปใช้บริการแล้วกลายเป็นผู้ติดเชื้อโควิดในเวลาต่อมา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับจงใจไม่ดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายและบังคับใช้กฎหมาย ไม่ดำเนินคดีและไม่ลงโทษ รัฐมนตรี ที่ไปใช้บริการสถานบริการดังกล่าว ทั้งที่เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ
นอกจากนี้ยังกรณีที่รัฐมนตรีในรัฐบาลอีกคนหนึ่งจัดงานในช่วงสงกรานต์และมีผู้ มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก จนเกิดการแพร่ระบาดของโรค มีผู้ติดเชื้อหลายรายและมีผู้เสียชีวิต ถือเป็นการจงใจไม่ดูแลให้ปฏิบัติ ตามและบังคับใช้กฎหมายไม่ดำเนินคดีและไม่ลงโทษ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เป็นรัฐมนตรีร่วมคณะ ที่กระทำผิดฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน
นอกจากนั้น รัฐบาลยังกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย สร้างความล้มเหลวระบบป้องกันโรคระบาด ล้มเหลวระบบให้การรักษาพยาบาล และล้มเหลวระบบช่วยเหลือการเยียวยา โดยไม่ได้ดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ไม่ดำเนินการให้มีการควบคุมโรค การป้องกันโรค การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสุขภาพ จงใจปฏิเสธความช่วยเหลือจากโครงการโคแวกซ์ของหน่วยงานขององค์กรอนามัยโลกที่จัดวัคซีนให้ประเทศต่างๆ 180 ประเทศ รวมถึงปฏิเสธความช่วยเหลือจากภาคเอกชนในการนำเข้าวัคซีน กลับปล่อยให้ประชาชนจำนวนมากต้องเจ็บป่วย นอนรอความตาย เพราะขาดโอกาสในการเข้าถึงวัคซีน
อีกทั้งในการจัดหาวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข และ ศบค. ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ใช้อำนาจรักษาการตามกฎหมายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้จงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ละเลยไม่ขวนขวายจัดหาวัคซีน ที่มีความสำคัญและจําเป็นอย่างรวดเร็ว หลากหลายและเพียงพอให้ประชาชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อชีวิตของประชาชน เศรษฐกิจ สังคมและทำให้ประชาชนต้องมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างทุกข์ทรมาน
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,679 หน้า 12 วันที่ 16 - 19 พฤษภาคม 2564