จากคดีฉ้อโกงจากการหลอกลวงให้ประชาชนร่วมลงทุนใน 5 รูปแบบ สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท จาก 6 ผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุ มีนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ผู้ต้องหาหลัก ซึ่งมีประวัติส่วนตัว เข้าดำรงตำแหน่งสำคัญทำให้มีภาพความน่าเชื่อถือ จนมีเหยื่อหลายรายหลงเชื่อเข้าร่วมลงทุน กระทั่งการจ่ายผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จนมีการแจ้งความดำเนินคดี
วันนี้ ( 20 พ.ค. 2564) พลตำรวจตรี สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผู้บังคับการกองปราบปราม(ผบก.ป.) เปิดเผยความคืบหน้าทางคดีว่า พนักงานสอบสวน ยังคงเร่งสอบสวนปากคำผู้เสียหายเพื่อนำไปสรุปพฤติการณ์ในคดี และความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งยืนยันว่า หลังรับแจ้งความ ฝ่ายสืบสวน ก็มีการติดตามสืบทรัพย์ผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูล พบการยักย้ายถ่ายเทไปตั้งแต่ช่วงที่เริ่มมีข่าวผู้เสียหายเข้าแจ้งความ ระยะแรกๆ ทำให้ทรัพย์ที่เหลืออยู่ในบัญชีมีไม่มาก ส่วนเรื่องโฉนดที่ดิน ยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบทรัพย์สินต่างๆ
ส่วนกรณี นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นำผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์กับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) ก็เป็นการขอให้เร่งรัดคดี และติดตามอายัดทรัพย์ผู้ต้องหามาเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย ซึ่งยืนยันว่ากำลังดำเนินการอยู่ โดยขณะนี้ยังต้องเน้นไปที่การสอบสวนผู้เสียหาย เพื่อดูว่าพฤติการณ์กระทำผิดจะเข้าข่ายเป็นความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่
ส่วนเรื่องที่ตั้งข้อสังเกตว่า คดีนี้น่าจะเข้าข่ายเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ เรื่องนี้พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน หากพบว่าหลักฐานที่เข้าข่ายความผิดใด ก็พร้อมจะดำเนินคดีทันที
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องหาที่คาดว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ พนักงานสอบสวนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาหลักฐานความเชื่อมโยง โดยเฉพาะผู้ให้การช่วยเหลือต่างๆ เช่น ผู้ที่ช่วยยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สิน หรือช่วยในการกระทำผิด หากพบว่ามีพยานหลักฐานชัดเจนก็จะดำเนินคดีทุกราย