วันที่ 15 มิถุนายน 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติถอน "ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …." หรือ ร่างพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ฉบับใหม่ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) เสนอเพื่อให้นำกลับไปทบทวนและรับฟังข้อเสนอจากหลายภาคส่วนที่มีเสียงคัดค้าน
ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งทำเนียบรัฐบาล พบว่า เสียงหนึ่งหนึ่งที่เป็นข้อคิดให้รัฐบาลรับฟังอย่างมาก คือ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นภาคีของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ว่า ครม.เห็นชอบให้ถอนร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ฉบับที่.. พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
เพื่อนำกลับไปพิจารณาทบทวนให้สอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบมากยิ่งขึ้น และรับข้อสังเกตจากองค์กรต่างๆ อาทิ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ไปพิจารณา
ซึ่งเรื่องนี้ ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เคยแสดงความคิดเห็นเอาไว้ว่า ตามที่รัฐบาลได้เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 ต่อรัฐสภา แต่ปรากฏว่าแนวทางที่รัฐบาลเสนอกลับไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ขัดกับแผนการปฏิรูปประเทศฯ และหลักสากล จนน่าเป็นห่วงว่าจะยิ่งทำให้ปัญหาความไม่โปร่งใสในภาครัฐกลับเลวร้ายลงกว่าเดิม
ทำไมคนไทยต้องสนใจกฎหมายข้อมูลข่าวสาร ..
คนจะกล้าโกงหาก “ไม่มีใครรู้” และจะกล้าเสี่ยงมากขึ้นถ้าควบคุมซุกซ่อนเอกสารข้อมูลได้เอง เพราะโกงแล้วใครจะมาสืบสาวเปิดโปงย่อมทำได้ยาก ครั้นชาวบ้านจะลุกขึ้นมาสู้ก็หวั่นเกรงเพราะขาดหลักฐานในมือ ทุกวันนี้เราจึงเห็นคนมีอำนาจที่ชอบคุยว่าโปร่งใส แต่กลับมักง่ายนึกจะไม่ชี้แจงไม่เปิดเผยอะไรก็อ้างว่าเป็น “ความลับ” ของทางราชการหรือขัดต่อความมั่นคงของชาติ บ้างก็อ้างสิทธิส่วนตัวได้ตามใจชอบ
แม้ข้อมูลในมือของภาครัฐหลายเรื่องเป็นข้อมูลดีมีคุณค่า ประชาชนสามารถเอาไปทำประโยชน์ได้เช่น เรื่องตัดถนน ก็เก็บงำไว้ให้รู้แต่พวกพ้องของตนเองก่อน
ด้วยเหตุนี้ การมีกฎหมายที่วางหลักเกณฑ์วิธีการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะในความครอบครองของรัฐอย่างเหมาะสมจึงเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและคนไทยทุกคน แต่หากกฎหมายเปิดช่องให้คนมีอำนาจปกปิดข้อมูลหรือเตะถ่วงเวลาได้ง่ายๆ ย่อมเป็นการปิดกั้นกลไกตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นได้เช่นกัน
กฎหมายข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับปัจจุบันไม่ดีอย่างไร ..
พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 ที่ใช้อยู่วันนี้ ถูกชี้ว่าล้าสมัยและเป็นอุปสรรคในการป้องกันคอร์รัปชันเสียเอง เพราะมีการตีความและบังคับใช้อย่างบิดเบือนหรือขาดความเข้าใจตลอดมาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจ ทำให้สื่อมวลชน ประชาชนและนักวิชาการ เรียกร้องให้แก้ไขตลอดมา โดยมีความคืบหน้าเป็นลำดับคือ
จากการศึกษายังพบว่า ร่าง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ของรัฐบาลฉบับนี้ นอกจากจะขัดต่อฉันทามติของทุกองค์กรข้างต้นแล้ว ยังผิดเพี้ยนไปมากจากร่างกฎหมายที่ “คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของทางราชการ” เสนอให้รัฐบาลแต่แรก
ร่าง พ.ร.บ. ฉบับที่รัฐบาลเสนอไม่ดีอย่างไร ..
ร่างกฎหมายใหม่แทนที่จะทำให้ทุกอย่าง “ดีขึ้น ง่ายขึ้น” สำหรับประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แต่มันกลับแย่ลง เพราะ
ต้องเปิดเผยอย่างไร ..
หลักสากลคือ ทุกคนต้องมีสิทธิ์รับรู้ข้อมูลภาครัฐเท่าเทียมกัน รัฐต้องเปิดเผยให้โปร่งใส ครบถ้วน ส่วนวิธีการเปิดเผยก็ควรใช้เทคโนโลยี่ที่รัฐบาลลงทุนไปแล้วมหาศาลให้คุ้มค่า วางกติกาให้ชัดเจนว่าเรื่องอะไรต้องเปิดเรื่องอะไรควรปิดแล้ววางระบบเป็นอัตโนมัติ ทำได้อย่างนี้ประชาชนจะเชื่อมั่น เจ้าหน้าที่ก็ทำงานด้วยความสบายใจว่าทุกอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา ไม่ต้องมีใครมาร้องขอหรือรอให้ใครมาใช้ดุลยพินิจอีกว่าอะไรเปิดเผยได้หรือไม่ได้
ข้อเสนอ..
บทสรุป ..
ถึงเวลาประเทศไทยต้องมีกฎหมายใหม่ที่วางหลัก “เปิดเผยอย่างโปร่งใส” เพื่อสร้างเกราะป้องกันคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพ เกิดความเป็นธรรมในสังคม เพิ่มประสิทธิภาพการบริการของภาครัฐ สร้างความเชื่อมโยงให้เกิดการค้าการลงทุนและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ
วันนี้การแก้ไข พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ จะบอกอนาคตว่า คนไทยจะต้องทนอยู่กับระบบที่เปิดช่องให้คนโกงบ้านกินเมืองต่อไปอีกนานแค่ไหน แต่บทสรุปจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับความเข้าใจและตั้งใจจริงของท่านนายกรัฐมนตรีและนักการเมืองในรัฐสภา
หวังว่าจะเกิดสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย
ที่มา องค์กรต่อต้านคอรัปชั่น(ประเทศไทย)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง