การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย (มท.) ที่ถูกจับตามองมาอย่างต่อเนื่องหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะตำแหน่ง “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” คนใหม่ ที่จะมาเป็นแทนบิ๊กฉิ่ง-ฉัตรชัย พรหมเลิศ ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้
ในที่สุด บิ๊กป๊อก-พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย ก็จำต้องยอมเสนอชื่อ “ผู้ว่าฯ เก่ง” สุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ให้ที่ประชุม ครม.ไฟเขียว เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา
ที่บอกว่า “จำยอม” ก็เพราะว่า พล.อ.อนุพงษ์ และ บิ๊กฉิ่ง-ฉัตรชัย พรหมเลิศ มีแนวคิดสนับสนุน และพยายามเสนอชื่อ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้โยกมาดำรงตำแหน่ง “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” ดันเข้าที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
แต่แล้วก็ต้องถูก “เบรก” เพราะมีแรงขับเคลื่อนจาก “ภายใน” และ “พลังจากภายนอก” ยังไม่ให้โยกย้ายให้เลื่อนออกไป เพื่อพิจารณา “คนใน” ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง
นี่จึงเป็นที่มาที่สุทธิพล จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ที่เหลืออายุราชการอีก 3 ปี ได้ขึ้นแทนว่าที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่
อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้ง “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” คนใหม่ครั้งนี้ เมื่อมีการตั้ง “คนใน” ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง คือ สุทธิพงษ์ จุลเจริญ เกิดคำถามว่า “บิ๊กป๊อก” ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะบัญชาการ “ปลัดกระทรวง” ได้ หรือไม่
เพราะ “ปลัดมหาดไทย” คือ “ปลัดประเทศไทย” คุมทั้งประเทศ เป็นเสาคํ้ายันให้กับรัฐบาล เกี่ยวข้องกับคนทั้งประเทศ เกี่ยวข้องกับการ วางเกม การวางแผนทางการเมืองในอนาคต ถ้าพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลอยู่ต้องการเดินการเมืองต่อ
เดิมที่ “ปลัดฉิ่ง” และ “บิ๊กป๊อก” หมายมั่นอยากได้ “ปลัดจตุพร” ซึ่งไม่ใช่คนนอก เพราะเริ่มรับราชการที่กระทรวงคลองหลอดมาก่อน แต่ไปเติบโตที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แต่เมื่อไม่ได้คนที่ต้องการอยากได้เป็น “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” น่าสนใจว่าอนาคตทางการเมืองของ “ปลัดฉิ่ง” หลังเกษียณอายุราชการ จะเป็นเช่นไร
เพราะก่อนหน้านี้ ปรากฏร่องรอยว่า “ปลัดฉิ่ง” ได้มอบหมายให้ “อดีตผู้ว่าฯ” คนหนึ่งแถวอีสานใต้ ไปดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และมีการดำเนินการประชุมจัดตั้ง สาขาพรรคครบทั้ง 4 ภาคแล้ว
พรรคที่ว่านี้ ไม่ใช่พรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เป็น “พรรคเศรษฐกิจไทย” ซึ่งเดิมกำหนดจะมีการประชุมใหญ่ของพรรคในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา แต่เจอกับวิกฤติิไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก เลยต้องเลื่อนออกไปก่อน
แต่ชื่อ พรรคเศรษฐกิจไทย อาจถูกเปลี่ยนในภายหลังได้ ซึ่งแกนนำพรรคตัวจริงกำลังคิดชื่อพรรคใหม่อยู่ และต้องรอให้ “ปลัดฉิ่ง” พ้นภาระจากทางราชการเสียก่อน จึงจะ มาเดินเกมบน “ถนนการเมือง” ได้อย่างเต็มตัว
สำหรับ “ปลัดฉิ่ง” มีจุดแข็ง เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ มีความยืดหยุ่น ประนีประนอมสูงสนองนโยบายได้ดี ความสัมพันธ์กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็แนบแน่นและลึกลํ้า
ขณะที่ “บิ๊กป๊อก” ก็ไม่ใช่คนช่างพูด แต่เป็นนักยุทธศาสตร์ ชอบอยู่เบื้องหลัง เหมือนตอนที่ “บิ๊กป้อม- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ “บิ๊กป๊อก” ก็มีบทบาทลับๆ ในฐานะแม่ทัพคนหนึ่งอยู่หลังม่าน
ว่ากันว่า สิ่งที่ “3 ป.” คิดตรงกันคือ พลังประชารัฐ เป็นศูนย์รวมของนักเลือกตั้ง หรือ นักการเมืองแบบเก่า ไม่เหมาะกับสถานการณ์การเมืองในวันข้างหน้า
“บิ๊กป๊อก” จึงมีแนวคิดจะสร้างพรรคการเมืองใหม่ ที่ไม่ต้องยืมพึ่งพานักการเมืองแบบเก่า “ปลัดฉิ่ง” จึงเป็นบุคคลที่ตอบโจทย์ในการสร้างพรรคใหม่
แต่เมื่อ “ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่” ไม่ใช่คนที่ตัวเองอยากได้ไว้เป็นมือไม้ในการสนองนโยบาย สนองงาน (การเมือง) แล้ว “พรรค การเมืองใหม่” ที่ “บิ๊กฉิ่ง-บิ๊กป๊อก” หมายมั่นไว้ จะเอาอย่างไรต่อ ต้องติดตามดูกันต่อไป