วันนี้( 9 ส.ค. 64) พ.ญ. กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ที่ปรึกษากลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทยเข้ายื่นฟ้องนายกรัฐมนตรั รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ผอ.องค์การเภสัชกรรม ต่อศาลปกครองกลาง ว่าทั้ง4 คนได้ร่วมกันออกประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 ฉบับลงวันที่ 8 มิ.ย.2564 ที่กำหนดให้เพียงให้กรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ดำเนินการจัดหา สั่ง หรือนำเข้าวัคซีนป้องกัน โรคโควิด - 19 อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิ ภาพอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ภายใต้กฎหมาย หรือตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานนั้น ๆ กำหนด โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พญ.กมลพรรณ กล่าวว่า ประกาศ ศบค. ดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่ ละเลย ล่าช้า กีดกันการนำเข้าวัคซีน โดยให้กระทำได้เฉพาะหน่วยงานรัฐเท่านั้น และมีขั้นตอนมากมายหลายขั้นตอนที่ขัดรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการระบาดของโรค และต้องปิดห้างร้าน ล็อคดาวน์หลายพื้นที่ ทำให้ผู้คนตกงาน ธุรกิจ ล้มละลาย ผู้คนอดอยาก ต้องมานั่งขอข้าวกินเป็นพันคน ไม่รวมความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นแสนๆล้าน ต่อเดือน ไม่สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลในการประกาศ คำสั่งที่ต้องการเพื่อเร่งรัดให้การขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 ตามวาระแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติ อย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนได้รับประโยชน์โดยเร็ว ในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค
วันนี้ จึงมาขอให้ศาลสั่งเพิกถอนประกาศดังกล่าว และให้นายกรัฐมนตรีเปิดให้เอกชน และหน่วยงานต่างๆ สามารถ นำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้อย่างเสรีทันที และต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุน หน่วยงานต่างๆนำเข้าวัคซีนให้เพียงพอและทันสถานะการณ์ รวมทั้ง ให้นายกรัฐมนตรีสั่งยกเลิกเงื่อนไขรวมถึงขั้นตอนต่างๆที่เป็นปัญหาและอุปสรรค โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือโรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมทั้งบริษัทเอกชนต่างๆ สามารถนำเข้าวัคซีนมาฉีดให้บุคลากรของตนเอง ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของงบประมาณแผ่นดิน และเพื่อให้ประชาชน เจ็บป่วยล้มตายลดลง และสามารถใช้ชีวิต อย่างปกติได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้วันนี้ยังร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินคำร้องของโจทก์เป็นกรณีฉุกเฉินและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยเปิดโอกาสให้งานรัฐ หรือเอกชนต่างๆสามารถนำเข้าวัคซีนที่มีคุณภาพที่ผ่านมาตรฐาน องค์การอาหารและยาในไทย และ นานาชาติแล้ว ได้อย่างเสรีทันที