วันนี้(18 ส.ค.64) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระสอง วันแรก ระหว่างเข้าสู่มาตรา 8 งบของกระทรวงกลาโหม ที่ได้รับจัดสรร 92,753 ล้านบาท เมื่อช่วงเวลา 17.25 น.
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฐานะกมธ.วิสามัญฯ ลุกอภิปรายของปรับลด จำนวน 2.6 หมื่นล้านบาท เพราะมองว่าสถานการณ์ที่ประชาชนล้มตาย ไม่ควรให้เงินกองทัพซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แม้กองทัพเรือได้ถอนเรือดำน้ำอกจากงบประมาณปี 65 แต่ยังมีงบประมาณสิ่งก่อสร้าง และยุทโธปกรณ์สนับสนุนเรือดำน้ำ และอาวุธใหญ่จำนวนมาก ทั้งท่าจอดเรือดำน้ำ โรงซ่อมเรือดำน้ำ คลังเก็บตอปิโด เรือเอนกประสงค์ยกพลขึ้นบก และระบบสื่อสารของเรือดำน้ำ และโดรนไร้คนขับ เป็นงบผูกพันกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เป็นงบปี 65 ประมาณ 3 พันล้านบาท
โดยตัวอย่างของอาวุธที่ควรตัดงบคืนโครงการโดรนขนาดใหญ่ ของกองทัพเรือมีมูลค่าถึง 4.1 พันล้านบาท ซึ่งมี 3 เหตุผล ที่ตนต้องสงวนคำแปรญัตติ คือ
1.เหตุผลทางความปลอดภัย ที่มีสถิติของอุบัติเหตุ
2.เหตุผลทางความมั่นคงของชาติ เนื่องจากโดรนไร้คนขับ ต้องใช้ดาวเทียมในการควบคุม ซึ่งการปล่อยให้ต่างชาติสามารถควบคุมโดรนผ่านดาวเทียมได้ ย่อมนำข้อมูลของเราไปให้ต่างประเทศได้
และ 3.เหตุผลด้านงบประมาณ ตนมีรายงานการศึกษาจากต่างประเทศ ว่าการใช้โดรนไร้คนขับแบบนี้ไม่ได้ช่วยประหยัดเมื่อเปรียบเทียบกับการลาดตระเวนด้วยเครื่องบินปกติ
“จากเหตุผลทั้ง 3 ข้อ เราจึงเห็นกองทัพใหญ่ๆ ระดับโลก เช่น กองทัพสหรัฐอเมริกา และกองทัพอินเดีย เริ่มพิจารณาลดการโดรนขนาดใหญ่ลง ซึ่งสถิติหลอกกันไม่ได้ จะเห็นว่าโดรนขนาดใหญ่ที่กองทัพเรือต้องการซื้อ มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุในปี 2001 – 2014 ที่สูงมาก เมื่อดูตัวเลขโดรนเหล่านี้ที่ถูกซื้อมา 100 ลำ ตกถึง 48 ลำ ตามข้อมูลของหนังสือพิมพ์ระดับโลก พบว่าโดรน 48% ตกด้วยอุบัติเหตุ ไม่ได้ตกเพราะมีภาวะสงคราม แต่ตกด้วยตัวของโดรนเอง" นายพิธา ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายงบกระทรวงกลาโหม ยังมีส.ส.พรรคฝ่ายค้านตั้งประเด็นที่สำคัญด้วย อาทิ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสาคาม พรรคเพื่อไทย ฐานะกรรมาธิการฯ เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า ขอตัดงบกลาโหม 2 หมื่นล้าน เพราะพบความไม่โปร่งใสในส่วนของกองทัพบก ในโครงการจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ จำนวน 921 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 64 ผูกพันงบปี 65 จำนวน 368 ล้านบาท และผูกพันปี 66 อีก 368 ล้านบาท
เมื่อสภาฯ อนุมัติงบให้ซื้อรถใหม่กลับไปเปลี่ยนแปลงเป็นงบซ่อมตกคันละ 2.5 ล้านบาท ซึ่งใช้งานมากว่า 40 ปีหมดสภาพแล้ว โดยบริษัทชื่อย่อ ช.เสนอราคาซ่อมคันละ 2.5 ล้านบาทซึ่งเหมือนรู้ล่วงหน้า ดังนั้นต้องขอถามกรรมาธิการฯ เสียงส่วนใหญ่ว่าผ่านงบประมาณให้ได้อย่างไร
“กองทัพเรือของบ 4.1 หมื่นล้านบาทที่ขอซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ จัดซื้อแล้ว 1 ลำเริ่มตั้งแต่ปี 60 สิ้นสุดโครงการปี 66 ซึ่งเริ่มดำเนินการโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นบิดาแห่งเรือดำน้ำ ระบุว่าเรือดำน้ำมีประโยชน์ เป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ ใช้เพื่อรักษาประโยชน์ทางทะเล แสดงศักยภาพทางทหารและสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาว
ถามว่าท่ามกลางความอดอยาก ทำไม่เจรจาขอเลื่อนงวดงานออกไป ทำไมต้องรีบจ่าย ส่วนเรือเอนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่หรือเรือแอลพีดี 6200 ล้านบาท กองทัพเรือและกรรมาธิการฯ เสียงข้างมากต้องตอบว่ายอมให้จัดซื้อได้อย่างไรทั้งที่เป็นเรือเปล่า ไม่มีอาวุธปืนและระบบอำนวยการรบ แล้วจะไปใช้รบได้อย่างไร" นายยุทธพงศ์ ระบุ
ๆ
นอกจากนี้ กองทัพเรือมีโครงการที่ไม่ได้ถูกปรับลดงบประมาณเลย กองทัพเรือไม่ให้กรรมาธิการฯ ตรวจสอบ ปลัดบัญชีทหารเรือไม่เคยโผล่หน้ามาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ถูกปรับลดแค่ 8.4 ล้านบาทเท่านั้น คือรถประจำตำแหน่งพลเรือเอก 5 คันเท่านั้น
นอกจากนี้ในส่วนการจัดซื้อโดรนไร้คนขับประจำชายฝั่งของกองทัพอากาศ 3 ลำๆ ละ 1400 ล้านบาท ถามว่าท่ามกลางความหิวโหย วัคซีนก็ไม่มี กรรมาธิการฯ ซีกรัฐบาลต้องตอบว่าอนุมัติให้ซื้อไปทำไม ขณะที่กรรมาธิการฯ ซีกฝ่ายค้านวอล์กเอาท์ ยังไม่นับรวมโดรนภายในประเทศ ลำละ 570 ล้านบาทที่กรรมาธิการฯ ไม่ปรับลดงบเลย ดังนั้นพวกท่านต้องตอบว่ามีเหตุผลอะไรที่ให้งบกองทัพเรือจัดซื้ออาวุธมากมายขนาดนี้ ในช่วงวิกฤติโควิด ถ้าท่านตอบไม่ได้ อาทิตย์นี้ขอเรียกร้องให้คาร์ม็อบออกมาขับไล่กันเยอะๆ ท่านจะได้ไปเร็ว