บ่ายวันนี้ (12 ก.ย.64) ที่สถานีสูบน้ำสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการ “ปรับ ครม.” ว่า ยังไม่ปรับ ให้เป็นเรื่องกลไกของพรรค และไม่ต้องตั้งใครเพิ่ม แม้จะมีการปรับรัฐมนตรีออกไป 2 คน ก็มีคนทำงานอยู่แล้วในแต่ละกระทรวง มีรัฐมนตรีรักษาการ และทำงาน หากไม่มีรัฐมนตรีช่วยก็ต้องเป็นเรื่องของรัฐมนตรีว่าการต้องรับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้ก็รับฟัง ส.ส.ทุกพรรคการเมืองอยู่แล้ว รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ ที่ทุกวันนี้ก็รับฟังอยู่ ทั้งไปตอบกระทู้ในสภา และลงพื้นที่
ส่วนกระแสแรงกระเพื่อมในพรรคพลังประชารัฐนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า มีปัญหาตรงไหน เมื่อถามว่า มีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี น้อยใจ จะลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐนั้น นายกรัฐมนตรี อุทานว่า “โอ้ย เขาไม่น้อยใจขนาดนั้นมั้ง”
เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรให้ระยะห่าง ส.ส.กับนายกฯ ลดน้อยลง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็นี่ไง มาหาแล้ว" บอกแล้วจะไปเยี่ยมเยียนในเวลาที่เหลืออยู่ ที่ผ่านมาเราก็ไปหาในรูปแบบของกลุ่มจังหวัด รับของทุกคนมาพิจารณาว่าอะไรทำได้ไม่ได้ ถูกตรงไหน ผิดตรงไหนก็แนะนำกันไป และจะหางบประมาณให้เพียงพอ
เมื่อถามอีกว่านายกฯ จะสยบข่าวความแตกแยกภายในพรรคพลังประชารัฐอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ เดินออกจากโพเดียมที่แถลงข่าวพร้อมกล่าวว่า "ไม่มีแตกแยกทั้งสิ้น"
เมื่อถามต่อว่าได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร แล้วหรือไม่ นายกฯ ปฏิเสธตอบ ก่อนจะโบกมือลาผู้สื่อข่าวกลับ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมราชการที่จังหวัดสมุทรปราการ ว่า วันนี้ได้มาพบปะสื่อมวลชนอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการลงพื้นที่ตรวจระบบการระบายน้ำระบบ ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกหลังจากปี 2557 โดยก่อนหน้านี้มีปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งตนไม่โทษใครวันนี้ต้องทำของใหม่ให้ดีขึ้น และได้เดินทางมาเยี่ยมคณะแพทย์ที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้มีการหารือกันถึงเรื่องสุขภาพ และการวิจัยพัฒนาเวชกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการผลิตแพทย์และพยาบาลหรือเป็นองค์กรขนาดใหญ่ถือเป็นองค์กรขนาดใหญ่มีผลงานเป็นที่ปรากฏ
ทั้งนี้ ทางสถาบันดังกล่าวได้มีการเสนอโครงการต่อไปว่าจะทำอย่างไรให้เป็นพื้นที่ที่สามารถรองรับรองรับทั้งผู้อยู่อาศัย และผู้รักสุขภาพและผู้สูงอายุ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในระยะยาวในการสร้างความมั่นคงในการสร้างความมั่นคง ปลอดภัยในเรื่องสุขภาพ
“ต้องขอบคุณที่สามารถลดจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ลงได้เรื่อยๆ และวันนี้เราจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้มากินขึ้นพร้อมกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยี”
ส่วนเรื่องสถานีสูบน้ำสุวรรณภูมิ ซึ่งเกิดตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ลดปัญหาพื้นที่ที่ไปสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ 2 หมื่นกว่าไร่ ซึ่งได้ดำเนินการมาหลายปี จนกระทั่งรัฐบาลปัจจุบัน และสถานีสูบน้ำดังกล่าวสามารถป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมได้มากพอสมควร ถือเป็นการบริหารจัดการน้ำของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) อย่างเป็นระบบ และน้ำจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และประเทศที่มีรายได้สูงก็มักจะมีปัญหาแบบนี้
“ผมได้เตือนในที่ประชุมขอให้ระมัดระวังและมองอนาคตไว้ด้วย ถ้าวันข้างหน้าสถานการณ์ในภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โลกร้อนน้ำแข็งน้ำแข็งละลายเราต้องร่วมมือกันไว้ในระยะยาวด้วย ซึ่งการประชุมระหว่างภูมิภาคหลายประเทศก็ร่วมมือกัน ฉะนั้นจะต้องวางแผนและจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วยไม่ให้โลกร้อน
วันนี้รัฐบาล ท้องถิ่นและผู้แทนฯ หารือร่วมกัน ผมยืนยันว่า ต้องดูแลคนทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของใครก็แล้วแต่ ผมมาให้ทุกพื้น และวันหน้าผมจะปรับแผนงานการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากบรรดาส.ส.ในการดูแลประชาชนของท่านโดยคำนึงถึงจังหวัดพื้นที่ใกล้เคียงด้วย รัฐบาลต้องทำหน้าที่แบบนี้ และวันนี้ก็รับฟังหลายช่องทางอยู่แล้วทั้งจากจังหวัดและในสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีการตอบกระทู้กัน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องมีโครงการที่เป็นโครงสร้างใหญ่ด้วย
ส่วนที่เล็กกว่านั้นก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะต้องบริหารในระดับพื้นที่ ผมยืนยันว่าดูแลทุกพรรคการเมือง ท่านคือผู้แทนของประชาชน ผมเป็นรัฐบาลของประชาชน ฉะนั้นขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วย สิ่งใดที่เสนอมาผมรับไว้และจะไปดูว่าจะทำได้แค่ไหน อย่างไรงบประมาณมีหรือไม่ ขอแค่ทุกอย่างทำอย่างสุจริตและโปร่งใส"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของงบประมาณที่ได้อนุมัติไปแล้ว น่าจะทำและเบิกได้ แต่บางครั้งติดปัญหาไม่สมบูรณ์ ซึ่งตนได้นำมาดูแลในขั้นต้นมากแต่พอทำก็ติดตรงนั้น ตรงนี้บ้าง ประท้วงกันบ้าง สิ่งเหล่านี้ต้องช่วยเรา รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายอยู่แล้ว แต่จะต้องทำโครงการมาให้สมบูรณ์และถูกต้องตามกฎระเบียบ ไม่ใช่ว่านายกฯหรือสำนักงบประมาณอยากจะตัด มันไม่ใช่ซึ่งยังมีโครงการอีกเยอะ
ดังนั้น ฝากไปถึงผู้ว่าฯ และทุกกระทรวงด้วย ขอให้ดูแลงบประมาณที่นำเสนอมาโดย ส.ส.ที่อยู่ในคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ต้องรับแผนงานของส.ส.มาพิจารณาด้วยในพื้นที่ ไม่ว่าจะของใครก็ตามให้ความเป็นธรรมในพื้นที่ให้ได้ เพราะจะเป็นคำตอบให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งคิดว่าไม่ผิด