หลังจากรัฐบาลประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกันมากขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจ.ภูเก็ต นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมทีมงาน ได้เดินทางลงจังหวัดภูเก็ต เพื่อพบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการและประชาชน เพื่อเก็บข้อมูลรับทราบปัญหาและความต้องการของชาวภูเก็ต
รวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจภูเก็ตหลังเปิดเมืองไปแล้ว 2 สัปดาห์ ซึ่งภายหลังการพูดคุย ได้ข้อมูลว่า นักท่องเที่ยวยังเดินทางเข้ามาไม่มากนักแต่มีสัญญาณที่ดีและมองเห็นแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซันนี้ ที่ผู้ประกอบการประมาณการว่าในช่วงสิ้นปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาวันละ 1 หมื่นคน จากเดิมที่เข้ามาถึงวันละ 6 หมื่นคน แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการที่จะทำให้เศรษฐกิจของภูเก็ตค่อยๆ ฟื้นตัว
หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า การมาภูเก็ตครั้งนี้ถือว่าเป็นความท้าทายมากในการที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ของภูเก็ต ในการที่จะผลักดันให้ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าด้วยศักยภาพของภูเก็ตนั้นมีความเป็นไปได้สูง หากมีนโยบายที่ถูกต้องและมีความจริงใจในการขับเคลื่อนนโยบาย แต่สิ่งที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กที่ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ในขณะนี้ เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตโรงแรม ซึ่งหากดูจากเว็บไซต์การจองโรงแรมจะเห็นว่าโรงแรมในภูเก็ตที่เปิดขายห้องพักมีมากกว่า 1 หมื่นแห่ง แต่ที่มีใบอนุญาตถูกต้องนั้นมี 700 กว่าแห่งเท่านั้น
ในอนาคตหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตเพิ่มขึ้น รายได้ที่เกิดขึ้นจะกระจุกตัวไม่กระจายไปยังทุกกลุ่มและผู้ประกอบการ ดังนั้น จะต้องหาแนวทางในการที่จะให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นได้เปิดกิจการได้ รวมไปถึงปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาในหลายๆ โครงการ แต่เงินทุนเหล่านั้นเข้าถึงผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและบริการในภูเก็ตน้อยมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากโรงแรมไม่มีใบอนุญาต
“ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ การประชุม ครม.สัญจร ในฝั่งอันดามันอีกครั้งหนึ่งที่ จ.กระบี่ อยากฝากไปถึงรัฐบาลว่า จังหวะนี้เป็นจังหวะสุดท้ายที่รัฐบาลจะทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้ทำมาหากินในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีนี้ รัฐบาลต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ จะต้องมีคำตอบและทางออกในการแก้ปัญหาให้คนในอันดามัน” นายกรณ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาพรรคกล้าลงพื้นที่ จ.ภูเก็ตบ่อยครั้ง แสดงว่ามีความมั่นใจว่าจะสามารถปักธงใน จ.ภูเก็ตได้ หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า เหตุผลหลัก ๆ ของการเดินทางมา จ.ภูเก็ตคือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพรรคกล้ามีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเสนอตัวเข้ามาเป็นผู้แทนคนภูเก็ต ตามแนวทางทางการทำงานการเมืองที่เราเรียกว่า “แนวทางการปฏิบัตินิยม” ทำงานอย่างสร้างสรรค์ให้กับพี่น้องชาวภูเก็ต ให้พรรคของเราได้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะเรามีความตั้งใจในเชิงคุณภาพ ทั้งนโยบายการทำงานและการคัดเลือกผู้สมัคร ซึ่งเราก็จะส่งผู้สมัครครบทั้ง 3 เขต และจะต้องเป็นผู้สมัครที่ สะท้อนความตั้งใจของพรรคกล้า ที่จะมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนภูเก็ต
“เราตระหนักว่า การเมืองภูเก็ต มีการแข่งขันกันสูง แต่หากถามว่า เรามุ่งมั่นและตั้งใจหรือไม่ที่จะปักธงที่ภูเก็ต ก็ต้องบอกว่าเรามีความตั้งใจระดับสูงสุด และมีความมั่นใจว่าชาวภูเก็ตก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ชาวภูเก็ตต้องการทางเลือกใหม่ ที่เป็นทางเลือกที่สร้างสรรค์ และเข้าใจถึงทั้งปัญหา ศักยภาพ และโอกาสของตัวจังหวัด พร้อมที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดควบคู่กันไปกับภาคประชาชนและธุรกิจของชาวภูเก็ตเอง” หัวหน้าพรรคกล้ากล่าว
นายกรณ์กล่าวต่อไปอีกว่า โดยเจตนารมณ์ของพรรคกล้า เรามองว่า เราเป็นพรรคการเมืองของคนทุกวัย มองว่าพื้นฐานของสังคมไทยสามารถที่จะเรียนรู้จากกันและกันได้ การที่เราจะมาจำกัดตัวเองว่า เป็นพรรคของคนรุ่นเก่า หรือพรรคของคนรุ่นใหม่ มันทำให้เสียโอกาสในการที่คนต่างวัยจะช่วยกันทำงานและเรียนรู้จากกันและกันได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้จำกัดว่าผู้สมัครของเราจะต้องเป็นคนวัยไหน แต่ขอให้เป็นคนที่มีบุคลิก “น้ำไม่เต็มแก้ว” พร้อมรับฟัง พร้อมเรียนรู้ พร้อมที่จะลองผิดลองถูก และทดลอง ที่สำคัญที่สุดก็คือ เน้นในเรื่องของการลงมือทำ ถือว่าเป็นสเปคของพรรคกล้า
นายกรณ์ ยังแสดงความมั่นใจด้วยว่า ในพื้นที่อันดามัน จากเสียงสะท้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้พบปะ ทั้งจังหวัดภูเก็ต กระบี่ และพังงา ก็เป็นไปในเชิงบวกมากๆ ส่วนใหญ่มองว่าเราเป็นพรรคที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของปากท้องของพี่น้องประชาชนมากที่สุดพรรคหนึ่ง โดยมีหลักคิดง่ายๆ ไม่ซับซ้อนว่า ทุกอย่างมันเริ่มต้นด้วย “ท้องต้องอิ่ม” เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธความสำคัญของประเด็นปัญหาเศรษฐกิจได้ ทั้งในแง่ของความตั้งใจและประสบการณ์ของทีมของเรา เราถือว่าเราไม่ด้อยกว่าใครและคิดว่าประชาชนสามารถสัมผัสถึงข้อเท็จจริงนี้ได้ นอกเหนือจากนี้ ก็ยังมีคนที่ชอบอุดมการณ์ ชอบวิธีการทำงานของเรา ที่เน้นเรื่องของการแก้ไขปัญหามากกว่าที่จะมาถกเถียงกันในประเด็นปัญหาต่างๆที่ไม่ได้มีผลต่อชีวิตประชาชนว่าจะดีขึ้นหรือไม่