สถานการณ์ตอนนี้รัฐบาลกำลังเจอศึกหนักไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจ่ายประกันราคาข้าว ที่ต้องขยายเพนดานหนี้ และโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่ร้ายแรงกว่าทุกสายพันธุ์
ตอนนี้ประเทศไทยแม้ว่ารัฐบาลจะบริหารจัดการอยู่ แต่บรรยากาศเสมือนนำไปสู่การเลือกตั้ง และนโยบายที่กำลังขับเคลื่อนกันอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ “ประชานิยม” กำลังนำไปสู่การดึงเอา “ประชา”กับ “รัฐ” มาผูกสัมพันธ์กัน
ตอนนี้การเลือกตั้งยังไม่เกิดและไม่รู้จะเกิดเมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนกำลังจะเกิด แต่ละพรรคตอนนี้กำลังเคลื่อนนโยบาย ตอนนี้มีหลายพรรคที่กำหนดนโยบาย เริ่มวางยุทธศาสตร์
ปัญหาว่าด้วยเรื่องของงบประมาณรายจ่ายในแต่ละครั้งกับนโยบายดูจะไม่สัมพันธ์กัน ก่อนหน้านี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีขีดจำกัดในเรื่องของการหางบประมาณมาใช้ ต้องกู้เงินต้องแก้ไขมาตรา 50 จากพ.ร.บ. วินัยการเงินฯ ขยายเพดานอัตราหนี้เมื่อเทียบกับ GDP ปกติ 60% ขยายเป็น 70% ให้เวลา 10 ปี เพื่อปรับเปลี่ยนกันใหม่ เพราะรายได้ไม่พอที่จะนำมาหล่อเลี้ยงประเทศ เพราะเจอวิกฤติโควิด
กระทรวงการคลังบอกว่าไม่มีเงินจากนโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ ถ้าไม่มีการขยับจะไม่มีเงิน ก่อนหน้านี้ 25 สิงหาคม 2564 ที่ประชุม นบข. นำไปสู่ปัญหาการไม่มีเงิน เนื่องจากเงินประกันราคาข้าว
ในพ.ร.บ.วินัยทางการคลังเขียนไว้ ก่อหนี้รวมได้เท่านี้และมาควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐที่เป็นภาระไม่ให้เกิน 30%
นอกเหนือจากนี้รัฐบาลยังต้องจ่ายโครงการต่างๆ
ถามว่าไม่กู้ได้ไหม ตอบเลยว่าไม่ได้ จึงนำไปสู่การขยายเพดานหนี้ คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ บอกว่า
พอขยายเพดาน ก็ให้ธอส. เป็นคนไปจ่ายได้ทันที แต่เดิมทำไม่ได้เพราะกฎหมายในมาตรา 28
เราแก้ตัวแม่หนี้เป็น 70% แก้ภาระตัวลูกขึ้นมาเป็น 35% มีอาวุธเพิ่มขึ้น
นี่คือภาระของรัฐบาลที่จำเป็นต้องขยับเพดาน แต่ถึงตอนนี้บางพรรคเริ่มมีนโยบายบัตรเครดิตเกษตรกร ถูกเซ็ตออกมาอีกระลอกหนึ่งเพื่อไปดูแลเกษตรกรให้เอาเงินไปใช้ก่อนครอบครัวละ 50,000 บาท
นโยบายที่ถูกเซ็ตออกมาไปดูแลเกษตรกร แต่เนื้อแท้นั่นคือ กำลังหว่านประชานิยม ให้เจริญเติบโตในระดับเศรษฐกิจฐานล่าง ใช่หรือไม่ ประชานิยมไม่ใช่นโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับนโยบายทางด้านรัฐศาสตร์ การเมือง ประชานิยม ก็เหมือนกับยาเสพติดเลิกไม่ได้ และต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แนวทางการเปิดเมือง กำลังเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของรัฐบาลอีกรอบหนึ่ง เพราะตอนนี้ต้องยอมรับว่าไวรัสวายร้ายไม่ได้ซาลงเลย เมื่อปีที่แล้วนโยบายของรัฐบาลชัดเจน คือสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจ แต่พอช่วงหลังให้น้ำหนักทางด้านการเปิดเมืองเรื่องของเศรษฐกิจเป็นหลัก นโยบายคือ ทำอย่างไรให้อยู่กับโควิดให้ได้
เสียงเรียกร้องออกมาเข้าสู่โหมดกิจกรรมปกติ แต่ในขณะเดียวกันบรรยากาศของโลกดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อวานนี้ มีการประชุม ศบค. และมีมติออกมาหลายเรื่อง สะท้อนว่ารัฐบาลยังคงตั้งการ์ดอยู่
แผนเปิดเมือง เปิดประเทศตอนนี้กำลังเดินไปสู่เป้าหมายกันอย่างเต็มรูปแบบ
ตอนนี้ตั้งแต่มีการเปิดเมือง มีคนเดินทางเข้ามาประเทศไทยเยอะมาก
เป็นตัวสะท้อนว่าเรายังจำเป็นต้องตั้งการ์ดให้ดี และถึงตอนนี้โลกทั้งโลกกำลังวิตกกังวลเรื่องไวรัสวายร้ายตัวใหม่ วันนี้นักข่าวไปถามนายกรัฐมนตรีว่าทราบเรื่องนี้ไหมและจะทำอย่างไร
หุ้นทั้งโลกร่วงระนาว WHO ต้องประชุมเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อหามาตรการป้องกัน เพราะมันจะเกิดผลกระทบไปทั้งโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบอกว่า
นี่คือความหวังว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม ความหวังต้องเดินไปพร้อมกับแนวทางการกระทำ นี่คือสิ่งที่สภาพัฒน์ประเมินว่าถ้าเราต้องโต 4.5% เราต้องทำอะไรบ้าง
7 ปัจจัยนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าเดิมพันประเทศไทยเราเป็นอย่างไร และตอนนี้ต้องบอกว่าเราต้องร่วมมือกัน เพราะไวรัสวายร้ายมันกระจายไปทั้งโลก นี่คือตัวเลขล่าสุดของยุโรปที่มีการติดเชื้อ
จน องค์การอนามัยโลกออกมาเตือน ตอนนี้ค้นพบเชื้ออีกตัวร้ายแรงมาก B.1.1.529
เดิมพันของประเทศไทยที่กำลังเปิดประเทศกำลังอันตราย ไวรัสวายร้ายกำลังท้าทายทุกคน การเปิดประเทศกำลังกายเป็นเดิมพันครั้งใหญ่สำหรับคนไทยทุกคน และร้ายกว่านั้นกำลังเป็นเดิมพันทางด้านการเมืองของรัฐบาล
หากจัดการกับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสที่กำลังกลายพันธุ์ และคุกคามของโลกไม่ได้ สถานะของรัฐบาลในทางการเมืองจะสั่นคลอนหนักหน่วงกว่าที่เป็นอยู่
ที่มา รายการเนชั่นอินไซด์ โดย...บากบั่น บุญเลิศ และ วีระศักดิ์ พงศ์อักษร ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22