พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้มีมติอย่างเป็นทางการออกมาแล้วที่จะส่ง ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกลางปี 2565
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคปชป. และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคปชป. ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกันแถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2564 ที่ผ่านมา
นายจุรินทร์ แถลงว่า การประชุมคณะกก.บห.ของพรรค มีวาระสำคัญพิจารณาให้ความชอบผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
ขณะที่ทีมงานรองผู้ว่าฯกทม. ได้เตรียมบุคคลไว้แล้ว ซึ่งมีทั้งคนในพรรคและคนเลือดใหม่ที่เข้ามาร่วมงานกับพรรค โดยจะเปิดตัวต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมยังรับรองให้ ดร.สุชัชวีร์ เป็นสมาชิกพรรคตลอดชีพด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมกก.บห.ยังให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะเป็นสมาชิกกรุงเทพฯ (สก.) ทั้ง 50 เขต แบ่งเป็นอดีตสก. เดิม 13 คน และคนรุ่นใหม่ 37 คน รวมเป็น 50 คน
“ขอเรียนให้ชาวกทม. รับทราบว่า พรรคภูมิใจที่ได้ต้อนรับเลือดใหม่ คุณภาพ อย่างดร.เอ้ มาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. นับจากนี้พรรคได้เสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้ชาวกทม. และหวังว่า ดร.เอ้ จะนำชัยชนะสู่พรรค และกทม. ถ้าได้รับโอกาส ผมมั่นใจดร.เอ้และทีมงาน สามารถเปลี่ยนกรุงเทพ เราทำได้อย่างแน่นอน” นายจุรินทร์ ระบุ
ด้าน นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคปชป. ระบุว่า ดร.เอ้ สุชัชวีร์ เป็นเลือดใหม่ ซึ่งพรรคได้ทำการคัดสรรเพื่อนำเสนอเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ และที่สำคัญพรรคยังให้ความเห็นชอบผู้สมัคร สก.ทั้ง 50 คน ใน 50 เขต ซึ่งเชื่อว่าจากประสบการณ์ที่โดดเด่นของ ดร.เอ้ จะทำให้มีโอกาสคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างแน่นอน และมั่นใจว่า ดร.สุชัชวีร์ และทีมงานพรรค จะสามารถ “เปลี่ยนกรุงเทพ ฯ เราทำได้" อย่างแน่นอน
ขณะที่ “ดร.เอ้ สุชัชวีร์” ได้เปิดใจกับ "เนชั่นทีวี" ถึงแนวนโยบายเบื้องต้นที่จะใช้หาเสียงและลงมือปฏิบัติหากได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.ว่า มีงานหลักๆ 5 เรื่องที่ตั้งใจทำเพื่อคนกรุงเทพฯ และเปลี่ยนกรุงเทพฯ ไม่ให้เหมือนเดิมอีกต่อไป คือ
1. ปัญหาพื้นฐานของกรุงเทพฯ ฝนตกน้ำท่วม รถติด ตึกถล่ม ตนมีความพร้อมเพราะจบมาทางด้านวิศวะ มีผลงานที่ทุกคนรับทราบเป็นอย่างดี และยังทำกิจกรรม "วิศวกรอาสา" ช่วยคนติดซากตึกก็เคยมาแล้ว ฉะนั้นงานลุยๆ งานบริการประชาชนจึงไม่ใช่ปัญหา
2. งานด้านการศึกษา ต้องเข้าไปแก้ไข เพราะรู้สึกแย่มากๆ ที่โรงเรียนในสังกัด กทม.มีคุณภาพด้อยกว่าโรงเรียนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียอีก ผิดกับที่ญี่ปุ่น เกาหลี ที่โรงเรียนระดับจังหวัด หรือ ระดับเมือง มีคุณภาพสูงมาก ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ต้องเดินทางไกล พาลูกไปสมัครเรียนโรงเรียนดังๆ แบบกระจุกตัว แก้ปัญหาจราจรไปด้วยในตัว
3. งานด้านการแพทย์และสาธารณสุข นอกจากการรับมือโควิด-19 ที่เป็นปัญหาระยะยาวแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องแก้ปัญหาให้ได้ว่า ทำไมสถานีอนามัยในชุมชนจึงไม่มีคนไปใช้บริการ เรื่องนี้สะท้อนปัญหาความไม่เชื่อมั่นทำให้ระบบสาธารณสุขในกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศมีปัญหากว่าทุกจังหวัด
“ช่วงการระบาดของโควิดทำให้เห็นได้ชัด ทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ที่คุณพ่อคุณแม่จะไปโรงพยาบาล ต้องไปรอกันตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ถ้าแก้ปัญหาสถานีอนามัย หรือสำนักงานสาธารณสุขในชุมชนให้มีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นได้ ก็จะลดปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด”
4. ปัญหาด้านคุณภาพอากาศ ยอมไม่ได้เด็ดขาด เรื่อง PM2.5 ต้องมีโครงการเสาไฟอัจฉริยะ ติดตั้งทั้งแผงโซลาร์เซลล์ กล้องวงจรปิด เครื่องวัดคุณภาพอากาศ อยู่บนเสาต้นเดียว ตัวต้นแบบราคาเพียง 35,000 บาทเท่านั้น เสาไฟอัจฉริยะตอบโจทย์ได้ทั้งเรื่องความปลอดภัย การจราจร คุณภาพอากาศ โดยทุกคนสามารถวัดคุณภาพอากาศแถวบ้านได้ ไม่ต้องไปพึ่งสถานีวัดที่อยู่ห่างไกล และยังไม่ต้องใช้กระแสไฟฟ้า
5. ต้อง "ช่วยกันฉุดกรุงเทพฯ ไม่ให้จม" เพราะสถานการณ์โลกร้อน ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และอีกไม่กี่ปีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ปัจจุบันเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกเริ่มแก้ไขปัญหากันแล้ว แต่ กทม.ยังไม่เริ่มอย่างชัดเจน จึงได้เวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
“อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นว่า กรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงได้ เราไม่จำเป็นต้องทนอยู่ไปแบบนี้ โตเกียว ปักกิ่ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้หมด ฉะนั้น กทม.ต้องเปลี่ยนได้ คนทำงานมีเยอะแล้ว แต่ขอให้เลือกคนทำได้ และอยากฝากบอกว่า ขอเสนอตัวเป็น ผู้รับใช้ ไม่ใช่เป็น ผู้ปกครอง" ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ประกาศ