วันนี้ (26 ม.ค.65) ที่สำนักงานป.ป.ช. นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ขอให้ตรวจสอบการกระทำความผิดฐานทุจริตหน้าที่ จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม มาตรา157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
กรณีเมื่อวันที่ 6 ม.ค.65 นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือที่ สผ. 0005/36 ถึงบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยอ้างว่าสำนักงานเลขาธิการสภาผู้ แทนราษฎรพิจารณากรณีหินทราไวทีนนอก ตามเอกสารข้อเท็จจริง ประกอบกับข้อกฎหมาย ข้อสัญญา และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากผู้รับจ้างได้ใช้หินทราโวทีนนอกไม่เป็นไปตามแบบรูปรายละเอียดในสัญญา สำนักงานฯ จึงขอสั่งการให้ผู้รับจ้างดำเนินการให้เป็นไปตามแบบรูปรายละเอียดในสัญญา เลขที่ 116/2556 ลงวันที่ 30 เม.ย.56
นายวิลาศ กล่าวว่า จากคำสั่งดังกล่าวเห็นว่า การปูหินทราโวทีนนอกไม่ตรงตามแบบ เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้า จึงควรจะต้องมีผู้รับผิดชอบ และจากการติดตามตรวจสอบเรื่องการปูหินทราโวทีนนอกมาตลอด เห็นว่าคณะกรรมการตรวจการจ้าง (คตจ.) น่าจะต้องรับผิดชอบด้วย โดย เฉพาะ คตจ. เสียงข้างมาก 5 เสียงที่เห็นชอบให้แก้ไขแบบการปูหินทราโวทีนนอก โดยเปลี่ยนความหนาของหินตามแบบ 25 มม. เป็น 20 มม.
ทั้งนี้ เพราะ คตจ. ควรจะทราบข้อสัญญา โดยเฉพาะสัญญาข้อ 19 ซึ่งผู้รับจ้างใช้อ้าง ในการขอรับคำสั่งงานพิเศษ และแก้ไขงานปูหินทราโวทีนนอก เป็น ที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในสัญญา ข้อ 19 มีสาระสำคัญคือ ต้องเป็นงานพิเศษ และไม่ได้เสนอไว้ในเอกสารสัญญา
นอกจากนี้ต้องมีการสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ว่าจ้างก่อน จึงจะลงมือก่อสร้าง แต่จากข้อเท็จจริง เห็นว่ามีการปูหินทราโวทีนนอกก่อน ต่อมาเมื่อมีการตรวจพบ จึงเริ่มกระบวนการขอรับคำสั่งงานพิเศษ โดยอ้างสัญญาข้อ 19 และถึงแม้ว่า คตจ. จะมีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบ แต่การพิจารณาของ คตจ . ต้องเป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมาย
การกล่าวอ้างสัญญาข้อ 19 เห็นว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งการแก้ไขดังกล่าว ไม่เป็นประโยชน์กับราชการหรือประชาชนแต่อย่างใด จึงขอให้ตรวจสอบการกระทำ ของ คตจ.เสียงข้างมากว่า การกระทำดังกล่าว ผิดระเบียบ และ กฎหมาย จงใจ ฝ่าฝืน มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือไม่
อีกทั้ง ขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มผู้ควบคุมงาน ATTA กรณี มีหนังสือถึงประธาน คตจ. เสนอความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นประโยชน์กับราชการหรือส่อว่าเอื้อประโยชน์ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่