วันที่ 11 ก.พ.2565 พรรคไทยสร้างไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรค ดร.โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ นายพงศกร อรรณนพพร ประธานคณะกรรมการบริหารพื้นที่ นายวัฒนา เมืองสุข ประธานคณะกรรมการด้านการเมืองและกฏหมาย นายประวัฒน์ อุตตะโมช รองประธานคณะกรรมการบริหารพื้นที่ ร่วมกันแถลงหลักแนวทางนโยบาย ดูแลประชาชนตั้งแต่”เกิดจนแก่” ให้ได้มี”ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างมีศักดิ์ศรี” เพื่อตอบโจทย์ให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง” ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย
เริ่มจากทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา โดยต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในระหว่างตั้งครรภ์จนคลอด เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนที่เป็นพ่อและแม่อยากมีลูก เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ จากนั้นเด็กจะต้องได้รับการศึกษาอย่างดี และทุกคนต้องจบปริญญาตรี ซึ่งปัจจุบันระยะเวลาการศึกษาของเด็กไทยตั้งแต่อายุ 3-22 ปีต้องใช้เวลาถึง 19 ปี เป็นการสร้างภาระให้กับผู้ปกครองและเด็กเป็นอย่างมากกว่าจะเรียนจบปริญญาตรี ปัจุบันมีผู้กู้ยืมเงิน กยศ.มากถึง 5.4 ล้านคน เป็นหนี้กว่า 6 หมื่นล้านบาท พรรคไทยสร้างไทย จึงเห็นว่าหากมีการลดระยะเวลาการศึกษาลง 4 ปี จนจบปริญญาตรีในอายุไม่เกิน 18 ปี จะช่วยลดภาระให้กับผู้ปกครอง รวมถึงเด็กนักเรียนก็ไม่ต้องเป็นหนี้ กยศ. ทำให้พ่อแม่และเด็กไม่ต้องกังวลถึงคุณภาพชีวิตและอนาคตของบุตรหลาน
เมื่อเข้าสู่การทำงานทำมาหากินในด้านต่างๆ ประชาชนยังต้องเผชิญ กับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งคือกฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ล้าหลังหลายกรณี เป็นการกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใหญ่ กดทับประชาชนคนตัวเล็ก ประกอบกับแนวคิด “อำนาจนิยม” ผ่านกลไก“รัฐราชการ” ที่ ด้อยประสิทธิภาพ ล้าหลัง แทนที่จะส่งเสริมสนับสนุน กลับมาทำการควบคุม สร้างภาระให้กับประชาชนเป็นบ่อเกิดของการทุจริตคอรัปชั่นที่ยิ่งนับวันยิ่งกินลึกเข้าไปในโครงสร้างของสังคม
พรรคไทยสร้างไทย เห็นว่าการแก้ปัญหาดังกล่าว ถ้าจะใช้วิธีการปลดปล่อย (Liberate) โดยการพักใช้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำมาหากิน ประมาณ 1,300 กว่าฉบับ เป็นเวลา 3 ปี เพื่อทำ “Legal Sandbox” คงเหลือกฎหมายที่จำเป็น ประมาณ 100-200 ฉบับ เพื่อให้ประชาชนทำมาหากินโดยไม่ต้องรอการอนุมัติ หรืออนุญาตที่ล่าช้าในเรื่องที่ไม่จำเป็น รวมถึงการปรับปรุงการให้บริการของระบบราชการ เพื่อเป็นหุ้นส่วนกับประชาชน ไม่ใช่เป็นนายเป็น ผู้กำหนดทุกอย่างเช่นที่เป็นอยู่
นอกจากนี้ จะต้องเสริมสร้างอำนาจให้ประชาชน (Empower) โดยการรวมกลุ่ม ของผู้ประกอบการแต่ละด้านแต่ละระดับให้เกิด Economies of scale สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการชุมชน การเข้าถึงแหล่งทุน และเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างพลังแก่ “ประชาชนคนตัวเล็ก” ผ่านกองทุนเอสเอ็มอี กองทุนสตาร์ทอัพ กองทุนธุรกิจท่องเที่ยว กองทุนวิสาหกิจชุมชน และกองทุนเคดิตประชาชน (กองทุนคนตัวเล็ก) เพื่อเสริมสร้างกำลังผลิตและกำลังซื้อของประชาชน ในลักษณะที่ประชาชนเข้าถึงกองทุนดังกล่าวได้ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ดอกเบี้ยต่ำ เปิดโอกาสให้ ตัวแทนของกลุ่มผู้ผลิตและผู้ประกอบการเข้ามีส่วนร่วมในการอนุมัติสินเชื่อต่างๆ กองทุนเคดิตประชาชนจะช่วยให้ คนตัวเล็กมีเงินใช้จ่ายในยามฉุกเฉินไม่ต้องพึ่งการกู้นอกระบบที่ดอกเบี้ยแพงมหาโหด
เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ก็จะได้รับนโยบายบำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท เพื่อเป็นการตอบแทนผู้สูงอายุที่ได้สร้างคุณูปการให้กับประเทศชาติมาทั้งชีวิต ให้สามารถอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ลดภาระลูกหลานในวัยทำงานที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม แก้ปัญหาความยากจนเพื่อสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุดแข็งแรงที่สุด ให้คนไทย “หายจน หมดหนี้ มีรายได้ตลอดทั้งปี” ตามหลักแนวนโยบายพรรคตั้งแต่ “เกิดจนแก่” ซึ่งจะการเปิดเผยรายละเอียดของแต่ละนโยบายในแต่ละสัปดาห์ต่อไป