จากกรณีเหตุการณ์สะเทือนวงการสงฆ์ หลังตรวจสอบพบ นายเนย อดีตไวยาวัจกร คนสนิท ของ"สมเด็จพระวันรัต"อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร(ปัจจุบันได้มรณภาพลง)
มีพฤติกรรม ยักยอกเงินวัดบวรฯ และวัดสาขาซึ่งปัจจุบัน หากรวมสาขาวัดที่จังหวัดตราด แล้วพบว่ามีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า300ล้านบาท
ทั้งนี้เงินทรัพย์สินวัดบวรฯที่ยักยอกได้ดังกล่าว ได้นำไปใช้ส่วนตัวซื้อทรัพย์สินทั้ง"สังหาริมทรัพย์"และ"อสังหาริมทรัพย์" สำหรับการยักยอกเงิน ยักยอกทรัพย์ ของวัดบวร ฯ ลูกศิษย์ คนสนิทนายเนย อดีตไวยาวัจกร อาศัยช่วงที่สมเด็จพระวันรัต อาพาธ ปลอมแปลงเอกสาร
ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2565 ตำรวจกองปราบปรามเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวได้สืบพบหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับที่ไปที่มาของรถหรูยี่ห้อ รถเบนท์ลี่ย์ หมายเลขทะเบียน ภภ5 กรุงเทพมหานคร
โดยพบว่าหลังได้เงินจากการยักยอกวัดบวรฯไปนั้น นายเนย ได้นำไปซื้อรถคันดังกล่าวจากโชว์รูมแห่งหนึ่งในพื้นที่ กทม.ทางพนักงานสอบสวนกองปราบฯ จึงติดต่อเชิญตัวแทนโชว์รูม มาเข้าให้ปากคำ
เพื่อสอบถามรายละเอียด โดยเฉพาะห้วงเวลาในการซื้อขาย ซึ่งจากการสอบปากคำ พบช่วงเวลาที่ นายเนย ติดต่อซื้อรถคันดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ก่อเหตุยักยอกเงินจากทางวัดไปจริง อีกทั้งทางตัวแทนของโชว์รูมดังกล่าวยังยืนยันอีกว่านอกเหนือจากรถเบนท์ลี่แล้ว
นายเนย ยังมีความคิดสนใจที่จะซื้อรถซุปเปอร์คาร์ ยี่ห้อลัมโบร์กีนี มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท จากทางโชว์รูมเพิ่มเติมอีก 1 คัน แต่เนื่องจากขณะนั้นไม่มีรุ่นที่ต้องการ จึงทำให้อยู่ระหว่างการจัดหา หรือ จัดซื้อ กระทั่งมาถูกจับกุมตัวเสียก่อน
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากแนวทางสืบสวนยังพบว่า เงินที่นายเนย นำมาใช้ซื้อรถหรูบางคัน ไม่ได้มาจากการยักยอกเงินวัดบวรฯเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีบางส่วนเป็นเงินที่ได้มาจากการนำชื่อของสมเด็จพระวันรัต ไปแอบอ้างโดยพลการ
เพื่อขอสนับสนุนเงินจากนายทุน หรือกลุ่มลูกศิษย์วัดที่เคารพศรัทธา อ้างว่าจะนำไปใช้ในกิจนิมนต์ของสมเด็จพระวันรัต โดยที่สมเด็จพระวันรัต ไม่ทราบเรื่องหรือรู้เห็นกับการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังได้แอบขโมยพระเครื่องหายาก มูลค่าสูงของวัดบางส่วนไปปล่อยเช่าให้กับเซียนพระ จำนวนหลายองค์มูลค่านับล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามกลับคืนมา
ทั้งนี้"นายเนย" หรือ นายอภิรัตน์ ชยางกูร ณ อยุธยา อดีตเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ กองโครงการธุรกิจ 2 ฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้ต้องหาในคดี ลักทรัพย์ ฟอกเงิน "ยักยอกเงินวัดบวรฯ" ของสมเด็จพระวันรัต
ที่ใช้ในการบริหารงานภายในวัดบวรนิเวศวิหาร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่สมเด็จพระวันรัตอยู่ในอาการอาพาธ ทางตำรวจมีพยานหลักฐาน อาทิ นำใบเบิกถอน แคชเชียร์เช็ค ทำแอป k-Bank ผูกกับบัญชีของตัวเอง เบื้องต้นเกี่ยวข้องตรงกัน เงินของวัดบวร 111 ล้านบาท วัดวชิรธรรมารามอีก 80 ล้านบาทเศษ
ในเวลาต่อมาเจ้าตัวยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหา บอกว่าได้รับมาด้วยเสน่ห์หา แต่ทางตำรวจมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องมองถึงบัญชีของพระ เปิดบัญชีเพื่อใช้ในการบริหารของทางวัดทางบุญกุศล หลักฐานมีในสำนวน ไม่สมเหตุสมผล
จากการตรวจค้น 4 แห่งยึดทรัพย์สินมา 300 กว่ารายการ มีเงินสดกว่า 1 ล้านบาท รถยนต์หรู บ้าน ตรวจเส้นทางการเงิน และปลายทางของเงินทั้งหมด รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ กำลังขยายผลอีกจำนวน 80 ล้านบาท เป็นวัดรัตนวราราม จ.ตราด เนื่องจากการตรวจสอบมีส่วนเกี่ยวข้องกัน เพราะมีตัวเลขยอดบัญชีตรงกัน อย่างไรก็ตาม ทางพนักงานสอบสวนเรียกสอบผู้ที่เกี่ยวข้องบ้างแล้ว ทั้งนี้หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมส่งมาให้กับทางตำรวจได้
ศ.ดร.อุทิศ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพุทธศาสนา มองว่า เป็นทฤษฏีคนขับรถ บริบทเป็นคนที่เกี่ยวข้อง ที่สมเด็จพระวันรัต มีความไว้วางใจถึงล้านเปอร์เซ็นต์ ต้องมองถึงเหตุจูงใจ
ความจริงหรือความเท็จ ยัดเยียด หรือปรักปรำใส่ความ หรืออาจเป็นทฤษฏีความหมั่นไส้อีกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นได้ ความจริงอาจจะไม่ได้เอาเงินไปถึงขนาด 200 ล้านบาท เชื่อว่ามีมูลแต่จะมากน้อยแค่ไหน
ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนา ระบุว่า นายเนยถือเป็นคนสนิท ที่เรียกว่าไวยาวัจกร ที่ใกล้ชิดสมเด็จพระวันรัตที่สุด จึงอาศัยความใกล้ชิดยักยอกเงิน วัดบวรฯแต่บัญชีส่วนใหญ่เป็นบัญชีทางการกุศล
ชื่อเป็นเจ้าของบัญชี แต่ขึ้นอยู่กับคนที่เบิกจ่าย ต้องยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากวัดที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ถ้าผู้ต้องหาฉลาดอาจจะต้องเหลือเงินไว้ในบัญชีไว้บ้าง
ทั้งนี้ ความผิดที่ไวยาวัจกรไปยักยอก หรือเบียดบังทรัพย์สินของวัดเป็นของตัวเอง อันอยู่ในความครอบครองของตนตามหน้าที่ จะต้องมีความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 147 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000 – 400,000 บาทและล่าสุด ตำรวจเตรียมแจ้งขอหาเพิ่ม "นายเนย" อีก