ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสินไชย วัฒนศาสตร์สาธร ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเมืองพัทยา หมายเลข 4 ในนาม “กลุ่มพัทยาร่วมใจ” ได้โพสต์คลิปวิดีโอที่ได้พูดคุยกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ บริเวณชายหาดพัทยากลาง
โดยนายสินไชยกล่าวช่วงหนึ่งว่า ปัญหาของเมืองพัทยาเกิดจากการพัฒนาที่ไร้ทิศทางมากว่า 30 ปี เพราะบริหารจัดการโดยคนกลุ่มเดิมๆ หลักคิดก็เดิมๆ โดยไม่ได้คิดถึงอนาคตว่าเทืองพัทยาจะพัฒนาอย่างไร ไม่เคยมีการวางผังเมือง หรือแผนการวางโครงสร้างพื้นฐาน
และที่ผ่านมาเมื่อเกิดปัญหาตรงไหน ก็ไปแก้ตรงนั้นเฉพาะจุด โดยขาดมาสเตอร์แพลนการวางแผนเพื่ออนาคต เช่นปัญหาน้ำท่วม ท่วมตรงไหนแก้ไขแค่เฉพาะจุดนั้น ซึ่งก็ส่งผลกระทบไปถึงจุดอื่น แล้วค่อยไปแก้เป็นจุดๆไป
“ผมบอกถึงคนพัทยาว่า ถ้าเบื่อก็ต้องเปลี่ยน ในฐานะคนพื้นที่ เป็นคนนาเกลือ อ.บางละมุง โดยกำเนิด รวมทั้งมีประสบการณ์ในธุรกิจท่องเที่ยวในพัทยามากว่า 30 ปี จึงเข้าใจปัญหาพื้นที่ เข้าใจชาวบ้านและภาคเอกชนเป็นอย่างดี และตัดสินใจเสนอตัวมาเป็นตัวเลือกในการเข้าไปทำงานเป็นนายกเมืองพัทยาครั้งนี้” นายสินไชย ระบุ
นายสินไชย ยังได้กล่าวถึงปัญหาการขุดเจาะถนนในพื้นที่เมืองพัทยา ที่มีตลอดเวลาจนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความผิดปกติว่า หลายโครงการเป็นการขุดเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ก็ทำเป็นจุดไม่ได้ดูภาพรวม เมื่อขุดจุดหนึ่งก็ไปเกิดปัญหาอีกจุด จนต้องขุดกันไม่เลิก สะท้อนให้เห็นว่า ที่ผ่านมาขาดมาสเตอร์แพลนการวางโครงสร้างพื้นฐานของเมืองพัทยา
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของโครงการจากหน่วยงานอื่นที่เข้ามาดำเนินการเพื่อพัฒนาพื้นที่ แต่การขาดการบูรณาการกับเมืองพัทยา ทั้งที่ควรต้องมีการพูดคุยแผนการพัฒนาเป็นแผนระยะยาวร่วมกัน โดยเชื่อว่ากรมโยธาธิการและผังเมืองมีแผนงานอยู่แล้ว
“น้ำท่วมพัทยาทุกครั้ง น้ำไหลมาจากด้านบน ก็ควรไปพูดคุยบูรณาการกับเทศบาลที่มีพื้นที่ติดกันทางด้านบนว่า อาจจะทำแก้มลิงร่วมกัน ที่ได้ทั้งแก้ปัญหาน้ำท่วม ต้นทุนน้ำใช้ และยังได้พื้นที่สีเขียวด้วย ไม่จำเป็นต้องมาขยายพื้นที่รับน้ำปลายทาง ที่อย่างไรก็รองรับไม่ไหว แต่เมื่อผู้บริการชุดเก่าเลือกที่ใช้การขุดขยายพื้นที่ก็เป็นปัญหาอย่างที่เห็น”
นายสินไชย ยกตัวอย่างปัญหาการดำเนินการโครงการปรับภูมิทัศน์ชายหาดพัทยากลาง งบประมาณ 166 ล้านบาทว่า เป็นโครงการที่คณะผู้บริหารชุดเก่าที่มาจากการแต่งตั้งต้องการทำให้หาดพัทยาเป็นเหมือนหาดไมอามี่ รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
เริ่มต้นโครงการก็ต้องตัดถอนต้นไม้ที่ใช้เวลาเติบโต และอยู่คู่หาดพัทยามากว่า 60-70 ปี ออกจากพื้นที่ โดยใช้เวลาแค่ 3 วัน จนภาคเอกชนออกมาเคลื่อนไหวปกป้องต้นหูกวาง 20 ต้นสุดท้ายไว้ ทั้งๆที่การพัฒนาพัทยานั้นไม่จำเป็นต้องไปลอกเลียนแบบที่อื่น เพราะพัทยา มีอัตลักษณ์ความเป็นพัทยา และความหลากหลายของตัวเอง
“เราอย่าปฏิเสธความเป็นตัวตนของพัทยา ที่มีจุดขายของตัวเอง ทั้งในแง่ธรรมชาติที่สวยงาม วิถีความเป็นอยู่ สถานบันเทิงต่างๆ ที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว” นายสินไชย ระบุ
นายสินไชย ยังได้เสนอด้วยว่าในช่วงฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์โควิด-19 อยากให้รัฐบาลเร่งพิจารณาปลดล็อกมาตรการคัดกรองกักตัวนักท่องเที่ยว รวมไปถึงปลดล็อกสถานบริการต่างๆ พัทยาก็จะฟื้นตัวกลับมาเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ผู้ประกอบการ คนในพื้นที่จะได้ทำมาหากินหาเลี้ยงชีพได้เหมือนเดิมโดยเร็ว
เนื่องจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในพื้นที่ประสบวิกฤตจากโควิด-19 อย่างหนัก นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มี ยังมีปัญหารขุดเจาะถนน จราจรติดขัด ที่ทำให้คนไทยก็ไม่อยากมา แล้วเลือกไปท่องเที่ยวที่อื่น
ขณะที่ นายชูวิทย์ กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า จากการพูดคุยกับคนในพื้นที่ คนพัทยาต่างพูดตรงกันว่า เบื่อบ้านใหญ่ อยากได้บ้านใหม่เข้ามาบริหารมากกว่า เพราะเลือกคนซ้ำๆ จนเมืองพัทยากลายเป็นเมืองที่มีแต่ปัญหามาก และยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งน้ำประปาไม่ไหล แต่น้ำกลับท่วม
หรือปัญหาการขุดเจาะถนนที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่อยากเดินทางมา ส่วนตัวเชื่อว่าจากประสบการณ์ ความเข้าใจในพื้นที่ ของนายสินไชย ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเมืองพัทยาได้
“คนพัทยาเบื่อกับการเลือกคนซ้ำๆ ที่ทำให้ปัญหาหมักหมม ไม่ได้รับการแก้ไข ผมเห็นถึงความตั้งใจของคุณสินไชย เชื่อว่าจะเป็นคนที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา และเปลี่ยนแปลงเมืองพัทยาให้เป็นเมืองน่าอยู่ น่าเที่ยว ได้ ผมเชื่อว่า ความเบื่อเปลี่ยงแปลงการเมืองได้” นายชูวิทย์ ระบุ.