วันนี้(7 มิ.ย.65) ผศ.ดร.สันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสท์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ที่เพิ่มขึ้น 7.1% สูงสุดรอบ 13 ปีนั้น จะยังไม่หยุดแค่นี้ และจะส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรง หากรัฐไม่เร่งเข้ามาแก้ปัญหา และไม่บอกความจริงกับประชาชน
ผศ.ดร.สันติ ระบุว่า ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่า เงินเฟ้อทั่วไป เดือนพ.ค. 2565 เท่ากับ 106.62 สูงขึ้น 7.10% สูงสุดในรอบ 13 ปี สาเหตุหลักมาจากราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น และหากพิจารณากลุ่มอาหารกลุ่มเดียว ก็จะพบว่า ราคาสูงขึ้นถึง 6.18% และยังสรุปว่า เดือนมิถุนายน 2565 นี้ อัตราเงินเฟ้อก็ยังมีแนวโน้มขยายตัว
แปลความง่าย ๆ ว่า ข้าวของที่เราเห็นว่าแพงในขณะนี้ ยังจะแพงต่อไปอีกครับ !!!
ในวันพุธที่ 8 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็จะมีการประชุม ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่าจะมีท่าทีอย่างไรต่อภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น กนง. ได้พยายามชี้แจงว่า ภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นนั้น จะเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น และจะปรับตัวดีขึ้น จึงจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยให้เหตุผลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ในความเห็นข้างต้นของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ผมได้แสดงความไม่เห็นด้วยมาอย่างต่อเนื่อง (ย้ำครับว่า ผมไม่เห็นด้วย !!!) ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของคนในประเทศไทยที่อยู่ในระดับสูงนั้น อัตราเงินเฟ้อหรือพูดง่าย ๆ เป็นภาษาชาวบ้านว่า ข้าวของแพงขึ้นนั้น จะทำร้ายคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างรุนแรง เพราะความเหลื่อมล้ำในระดับสูงนั้น แสดงถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจนอยู่มาก ข้าวของแพงขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ประกอบกับระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงมากเกือบ 100% ของ GDP อย่างในขณะนี้นั้น รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีการทำงานสอดประสานกันอย่างไรเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้ ... คำถามนี้เป็นคำถามใหญ่ และเป็นสิ่งที่นโยบายการคลัง (โดยรัฐบาล คือกระทรวงการคลัง) และนโยบายการเงิน (โดยธนาคารแห่งประเทศไทย) ต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง มิฉะนั้นแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะอยู่อย่างไร
นอกเหนือจากประเด็นความเหลื่อมล้ำ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศจะอยู่ไม่ได้ในภาวะอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นรุนแรงอย่างนี้แล้ว ยังมีคำอธิบายทางวิชาการเพิ่มขึ้นอีกครับ
การศึกษาเชิงประจักษ์ (empirical study) ที่มีมากมายในโลกนี้ ชี้ให้เห็นว่า ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแต่อย่างไร ดังนั้น คำอธิบายเรื่องการไม่ทำอะไรกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะเกรงว่าจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจชะงักงันลงไป จึงไม่เป็นเหตุผลทางวิชาการที่เหมาะสม
แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามอธิบายว่า ภาวะเงินเฟ้อของประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นเพราะต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น (เป็น cost push หรือเป็นปัญหาด้านอุปทาน) ไม่ใช่เป็นเพราะปริมาณสินค้าและบริการที่คนต้องการบริโภคสะสม (pent up demand) มาจากการปิดเมือง หรือพูดเป็นภาษาวิชาการว่าเป็นเงินเฟ้อจาก demand pull
แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่ว่าข้าวของแพง หรือเงินเฟ้อจะเริ่มต้นด้วยด้านอุปสงค์หรืออุปทานก็แล้วแต่ แต่ในที่สุดแล้ว ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน (คือ demand pull and cost push) จะผสมโรงกันกันเป็นเกลียวคลื่น (spiral) เพิ่มความรุนแรงของเงินเฟ้อหรือของแพงไม่หยุด
อันเนื่องมาจากคนทั่วไปจะคาดหวังว่าของจะแพงขึ้น จึงต้องจัดการกับตัวเอง เช่น เร่งกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภค ดังจะเห็นจากตัวอย่างของการเข้าคิวยาวที่ปั๊มน้ำมันในช่วงเย็นของวันก่อนที่ราคาน้ำมันจะขึ้น เพื่อเติมน้ำมันรถให้เต็มถัง เมื่อคาดว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะเพิ่มขึ้นพรุ่งนี้
ปรากฏการณ์อย่างนี้ จึงต้องบอก policy maker ว่า ท่านต้องเร่งจัดการกับ inflation expectation หรือการคาดการณ์ภาวะข้าวของแพง ไม่ใช่ปล่อยให้ข้าวของแพงแล้วบอกว่า เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง เพราะในที่สุด เกลียวคลื่นของเงินเฟ้อ (spiral inflation) อันเกิดจากการผสมโรงของทุกสาเหตุจะช่วยกันทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลง และกลายเป็นไฟลามทุ่งไปทั่ว คือข้าวของแพงทุกหมวด
ผู้บริหารเศรษฐกิจต้องบริหารทั้งความคาดหวัง และบริหารสถานการณ์จริง โดยต้องพยายามไม่ให้เกิดปัญหา หากเมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ต้องพยายามจำกัดวงของปัญหาไม่ให้ขยายวง (contain problem) และต้องพูดความจริงกับประชาชน ไม่ใช่สร้างความคาดหวังปลอม ๆ หลอกประชาชนไปวันๆ เดี๋ยวปัญหาต่าง ๆ ก็จะดีขึ้นเอง ... ซึ่งการหลอกประชาชนไปวัน ๆ นั้น
นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาใด ๆ แล้ว ยังสร้างคำถามจากภาคประชาชนด้วยว่า "แล้วเราจะมีรัฐบาลไปทำไม"
ขอเรียกร้องให้ท่านผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านนโยบายการคลังหรือนโยบายการเงินก็ตาม ต้องเร่งทำงานประสานกันให้เป็นเนื้อเดียว ต้องบริหารด้วยเหตุผล ไม่ใช่บริหารด้วยความกังวลใจทางการเมือง เพราะในเวลานี้ ไม่ใช่เวลาปรกติ เป็นเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติครับ ไม่สามารถปล่อยปละละเลยอย่างที่เป็นอยู่อย่างขณะนี้ได้ครับ