วันที่ 9 กรกฎาคม 2565 นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวเปิดการประชุมระดมความคิดนำคอหงส์สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีนายสมยศ พลายด้วง ว่าที่ผู้สมัครส.ส.พรรคปชป.เขต 3 สงขลา นายโชติ กิจฉาโณ ประธานสาขาพรรคเขต 3 สงขลา และคณะกรรมการสาขาพรรค นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ.สงขลา นายทวีศักดิ์ อรัญดร ส.อบจ.สงขลา แกนนำ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในเขตเทศบาลตำบลคอหงส์เข้าร่วมระดมความคิดนำคอหงส์สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ณ ห้องโรงแรมหรรษาเจบี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
นายนิพนธ์ กล่าวว่า พรรคปชป.ขอชื่นชมความเข้มแข็งของคณะกรรมการสาขาพรรคที่จัดเวทีในวันนี้ ในฐานะที่เป็นรองหัวหน้าพรรค ที่มีหน้าที่ดูแลแกนนำ สมาชิกพรรคทั่วประเทศก็ต้องขออภัยพี่น้องแทนพรรคปชป.ก่อน ซึ่งพูดด้วยความรับผิดชอบที่ในอดีตพรรคอาจจะทำอะไรให้ขุ่นข้องหมองใจก็ต้องขอโทษด้วย และดีใจที่พี่น้องให้ความสนใจกับเวทีการมีส่วนร่วมของพี่น้อง
“สิ่งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ผมจะนำไปขับเคลื่อนทั่วประเทศ ซึ่งเขต 3 ได้ทำตัวอย่างที่ดีมีการระดมความเห็นสมาชิกพรรค แกนนำพรรคทุกตำบลนี่คือ การสร้างความเข้มแข็งให้มวลสมาชิก ซึ่งถือเป็นการสร้างแกนนำ และการขยายฐานสมาชิกที่ดีที่สุด และมีความมั่นคง เพราะถ้าเรามีสมาชิกและแกนนำที่เข้มแข็งก็จะไม่มีใครทำอะไรได้ เปรียบเสมือนต้นไม้ที่มีรากหยั่งลึก ไม่ว่าจะมีพายุพัดมาสักเท่าไหร่ ก็ยังคงอยู่ ผมได้เห็นการทำงานของคณะกรรมการเขต 3 แล้วว่ากำลังหยั่งรากลึกในพื้นที่จังหวัดสงขลา”
นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า ประชาธิปัตย์ไม่เหมือนกับพรรคอื่น เป็นพรรคเก่าแก่เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีอุดมการณ์ กว่า 76 ปีก้าวสู่ปีที่ 77 ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน มีนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 7 คน จนถึงคนปัจจุบันนี้ คือ นายจุรินทร์ พรรคปชป.จึงเป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ ทุกคนคือเจ้าของพรรคซึ่งแตกต่างกับพรรคอื่นๆ
แต่พรรคก็ยังยืนยันในเรื่องของของการกระจายอำนาจ เพราะนี่คืออุดมการณ์ของพรรคปชป.ซึ่ งได้มีการประกาศอุดมการณ์ 10 ข้อในขณะตั้งพรรคปชป.ในปี 2489 ซึ่งข้อที่ 3 ได้ระบุว่า พรรคจะเทิดทูนในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และในเรื่องของอุดมการณ์ข้อ 5 พรรคจะกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากที่สุด เพราะท้องถิ่นจะใกล้ชิดกับประชาชน โดยเฉพาะนโยบาย 3 นโยบายของท่านชวนในการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค คือกระจายอำนาจ โดยการออกพ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนตำบล ยกฐานะตำบลให้เป็นองค์การบริหารส่วนตำบล
ทำให้วันนี้ชนบทหายออกไปจากประเทศไทยสู่การพัฒนาเป็นเมืองขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ซึ่งสมัยพลเอกเปรม สิ่งที่ท่านอยากทำมากที่สุดคือ ในเรื่องของการแก้ปัญหาในชนบท ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างเช่น คนสงขลา ที่เคยอยู่แถวสทิงพระ แถวระโนด จะทิ้งบ้านเรือนอพยพมาหางานทำในเมือง
หรืออย่างอีสานก็อพยพทิ้งบ้านเรือนมาอยู่ในเมืองหางานทำ นี่คือสิ่งที่เรียกยุคนั้นว่า การล่มสลายของชนบท เพราะรายได้หลักของชนบทไม่มีสักอย่างในขณะที่ในเมืองมีทุกอย่าง ดังนั่นเราจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้คนละทิ้งชนบท นั่นคือ เราต้องกระจายความเจริญลงสู่ชนบท สิ่งไหนที่ชนบท ขาดแคลนสิ่งนั้นต้องให้ชนบท และนี่คือที่มาของการกระจายอำนาจ
วันนี้ชนบทจึงมีไฟฟ้าใช้ มีถนนคอนกรีต และมีน้ำประปาใช้ รวมถึงการ ทำเมืองให้เป็นเมืองขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ โดยนโยบายกระจายอำนาจของพรรคปชป. พร้อมเตรียมจัดทำในเรื่องของงบประมาณใหม่ เพื่อนำมาลงในท้องถิ่น การกระจายโอกาสทางการศึกษา ให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ โดยการตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาจนจบปริญญา การให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสดื่มนมโรงเรียนตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็ก จนถึงชั้น ป.6
“ถึงวันนี้ในเรื่องของ เงินตอบแทน อสม.สมัยท่านอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เหล่านี้เป็นนโยบายของพรรคปชป. รวมถึงริเริ่มในเรื่องของเงินผู้สูงอายุก็เช่นเดียวกัน นี่คือนโยบายของพรรคปชป. ตั้งแต่เกิดคือในเรื่องของคุณภาพชีวิต รวมถึงในเรื่องของการจัดที่ทำกิน”
ดังนั้นพี่น้องสบายใจได้ว่า พรรคปชป.จะกลับมาดูแลพี่น้องประชาชนอีกครั้ง อย่างนโยบายการประกันรายได้ เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคปชป.ต่อรองในการเข้าร่วมรัฐบาล นี่คือการกระจายรายได้สู่พี่น้องเกษตรกรทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพดอาหารสัตว์ นี่คือสิ่งที่จะเรียนกับพี่น้อง อยากให้หาแกนนำสมาชิกที่เป็นเป้าหมายสู่สุดท้ายคือการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น