วันนี้ (21 ส.ค.65) นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้รับหนังสือแจ้งจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่า เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง ได้ดำเนินการทางวินัยตามหน้าที่และอำนาจ โดยมีคำสั่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ 36/2561 ลงวันที่ 12 มี.ค.2561 ลงโทษไล่ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย หรือ นายวัชระชัยย์ นาควัชระชัยท์ อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกจากราชการเรียบร้อยแล้ว
ส่วนการดำเนินการทางอาญา และความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่นั้น เป็นหน้าที่และอำนาจของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับความเสียหาย
กรณีของนายสุวิจักขณ์ นายวัชระ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2565 ให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยและอาญาต่อ นายสุวิจักขณ์ จนมีหนังสือตอบมาจากสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดังกล่าว
สำหรับพฤติกรรมของนายสุวิจักขณ์ ในสมัยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแพ้คดีและต้องชำระเงินจำนวน 2,303,215.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้กับผู้ฟ้องคดี
สรุปได้ว่า นายสุวิจักขณ์ ทราบว่า มีการดำเนินการปรับปรุงอาคารสำนักงานรัฐสภาเชียงรายมาก่อนแล้ว แต่กลับให้มีการดำเนินการตามระเบียบย้อนหลังโดยได้อนุมัติ และลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนด รายละเอียดและคุณลักษณะเฉพาะ คณะกรรมการกำหนดราคากลาง
จนกระทั่งคณะกรรมการพิจารณาผลประกวดราคา มีมติเห็นชอบให้จัดจ้างปรับปรุงและตกแต่งอาคารสำนักงานรัฐสภาเชียงราย โดยบริษัท เก้า พี เค กรุ๊ป จำกัด เป็นบริษัทที่เข้าไปดำเนินการ ก่อนการดำเนินการตามกระบวนการพัสดุ เป็นผู้ชนะการจัดจ้าง
การกระทำของ นายสุวิจักขณ์ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้บริษัท เก้า พี เค กรุ๊ป จำกัด มีข้อได้เปรียบผู้รับเหมารายอื่นในการเสนอราคาและเอื้อประโยชน์ให้มีโอกาสได้รับประโยชน์ โดยคําพิพากษาดังกล่าวยังได้ระบุพฤติกรรมของผู้บริหารของสํานักงาน
เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนอื่น ที่ร่วมสนับสนุนการกระทำของนายสุวิจักขณ์อีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ในยุคที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานรัฐสภา ที่สั่งการให้มีการก่อตั้งรัฐสภาจังหวัด
นายวัชระ ได้แสดงความขอบคุณข้าราชการหน่วยงานนี้ ที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตรงไปตรงมา นับเป็นตัวอย่างที่ดีให้ข้าราชการรัฐสภาได้เห็น และเชื่อว่ายังมีเลขาธิการสภาฯ อีกหลายคน ที่สุดท้ายต้องขึ้นศาลอาญาทุจริตเและประพฤติมิชอบ เพราะความเกรงใจและสมยอมผู้มีอำนาจการเมืองที่สภาในยุคนั้นๆ จึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจข้าราชการทุกแห่งได้เป็นอย่างดี