วันนี้(14 ก.ย.65) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงแรงงานที่ 39/2552 ลงวันที่ 21 ม.ค.2552 ที่ลงโทษปลด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงแรงงานในขณะนั้นออกจากราชการ รวมทั้งเพิกถอนมติการประชุม อ.ก.พ. กระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 9/2551 เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2551 เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เรื่องดำ 5210006 เรื่องแดงที่ 0012155 และเพิกถอนมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 61/2551 ลงวันที่ 16 ต.ค.2551 ที่ลงมติว่านายสมชายกระทำผิด
คดีนี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยื่นฟ้อง กระทรวงแรงงาน, รมว.แรงงาน,คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงแรงงาน (อ.ก.พ. กระทรวงแรงงาน),คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-5
กรณีกระทรวงแรงงานมีคำสั่งที่ 39/2552 ลงวันที่ 21 ม.ค. 2552 ลงโทษปลด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากราชการ โดยอ้างว่า เหตุปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จากเหตุขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม พิจารณาสั่งระงับเรื่องไม่ดำเนินคดี กับ นายประมาณ ตียะไพบูลย์สิน อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี และ นายมานิตย์ สุธาพร อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี ที่ไม่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม 70 ล้านบาท จากการขายทอดตลาดที่ดินของศาลจังหวัดธัญบุรี ทั้งที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเห็นว่าการคืนเงินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ทางราชการเสียหาย
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนให้เหตุผลว่า ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต บัญญัติว่า คณะกรรมการป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนและวินิจฉัยเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำความผิดฐานประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นความผิดทางวินัยตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2535
อีกทั้ง พ.ร.ป ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 มิใช่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และเป็นกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ การที่ป.ป.ช.ใช้อำนาจตาม พ.ร.ป ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 ชี้มูลว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์กระทำความผิดฐานประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง จึงไม่มีอำนาจกระทำได้
เมื่อป.ป.ช.ไม่มีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริง และชี้มูลความผิดของนายสมชาย ดังนั้น มติของป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ 61/2551 ลงวันที่ 16 ต.ค.2551 จึงมิชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีผลผูกพัน รมว.แรงงาน ที่จะถือเอารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง และความเห็นของป.ป.ช. มาเป็นสำนวนสอบสวนทางวินัย ของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2542
แต่จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน นายสมชาย ตามที่ป.ป.ช.มีมติว่ากระทำความผิดถามประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เพื่อให้ นายสมชาย ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบข้อกล่าวหาและมีโอกาสชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาตามขั้นตอน แต่เมื่อรมว.แรงงาน มีคำสั่งกระทรวงแรงงานลงโทษปลด นายสมชาย ออกจากราชการ ตามมติป.ป.ช.ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน และแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
คำสั่งทางวินัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนวิธีการที่เป็นสาระสำคัญในการลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการพลเรือน ตามมาตรา 102 ของพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2535 จึงย่อมมีผลทำให้การที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของนายสมชาย ด้วยเหตุเดียวกันไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงแรงงาน และคำสั่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่คำสั่ง และคำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลบังคับ
ด้าน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษา ว่า วันนี้ได้รับความเป็นธรรมจากศาลปกครองสูงสุดว่า ป.ป.ชไม่มีอำนาจในการไต่สวนตนเลย และให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงแรงงานที่สั่งให้ตนออกจากราชการ ซึ่งดีใจมากเพราะตนเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตมาโดยตลอด ไม่เคยมีเรื่องด่างพล้อยอะไรเลย แต่ชื่อเสียงต้องมาเสียไปตลอดมา 20 ปี กับเรื่องที่ไม่สมควร วันนี้จึงถือว่าได้รับยุติธรรมกลับคืนมา ได้กลับมาเป็นข้าราชการที่บริสุทธิ์
"ผมเป็นคนที่อะไรสามารถให้อภัยได้ก็ให้อภัย ไม่ได้มีความรู้สึกอาฆาตมาตร้าย แต่คดีนี้ทำให้ผมซึ่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำด้านความยุติธรรม ต้องตกมาเป็นผู้ที่ถูกไล่ออก เพราะถูกป.ป.ช.ชี้ว่าผิดวินัยร้ายแรง ประมาทเลินเล้อ ซึ่งถือว่าร้ายแรงที่สุดของคนที่เป็นข้าราชการ แต่วันนี้ถือว่าได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา ซึ่งขอดูคำพิพากษาก่อนว่าจะสามารถพิจารณาดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยความเสียหายได้อย่างไร " นายสมชาย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลปกครองในวันนี้ของนายสมชาย มีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมเดินทางมารับฟังด้วย
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 5 ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และพวก เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต และพวก ในคดีร่วมกันกระทำความผิดฉันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา จากการทำความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ กับพวก ในข้อหาสั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อปี 2553 โดยธาริต ไม่ได้ไปศาล โดยอ้างว่าติดโควิด-19