วันที่ 3 พ.ย. 2565 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้รับเชิญขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในงาน Oslo Freedom Forum in Taiwan : Champion of Change มหกรรมด้านสิทธิมนุษยชน ที่จัดขึ้นโดย The Human Rights Foundation เป็นประจำทุกปี โดยมีการเชิญผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนจากแวดวงต่าง ๆ ทั่วโลกมาเข้าร่วม
นายธนาธร กล่าวว่า นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คำถามสำคัญที่เป็นใจกลางของการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยมาเสมอ คืออำนาจสูงสุดเป็นของใครกันแน่ ระหว่างสถาบันกองทัพ และประชาชน และเมื่อชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมปฏิเสธที่จะมอบอำนาจนี้ให้แก่ประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการมีรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ นายกรัฐมนตรี 29 คน และการรัฐประหาร 13 ครั้งในรอบ 90 ปี
รวมทั้งการปราบปรามประชาชนทั้งในปี 2516, 2519, 2535 และ 2553 เพียงในรอบ 90 ปีที่ผ่านมา การมี พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหารในปี 2557 และยังคงสืบทอดอำนาจมาได้ถึง 8 ปี
วันนี้ คือผลจากความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตย แต่ผลของความล้มเหลวนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในระดับโลกด้วย
นายธนาธร กล่าวอีกว่า การขึ้นมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ไม่สมดุล เอียงข้างไปทางจีนมากขึ้นทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหาร นำมาสู่การที่ในปี 2018 ประเทศไทยส่งตัวผู้ลี้ภัยอุยกูร์กว่า 100 คนกลับไปเผชิญชะตากรรม แทนที่จะได้รับการส่งตัวไปประเทศที่สามตามคำเรียกร้องและคำเตือนของนานาชาติ
วมทั้งกรณีการรัฐประหารในเมียนมา ที่นำมาสู่การปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงในปี 2564 ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะปฏิเสธไม่รับผู้ลี้ภัยแล้ว ยังออกหน้าสนับสนุน มิน อ่อง หล่ายน์
โดยมิน อ่อง หล่ายน์ ผู้ก่อนัฐประหารเมียนมา ให้สัมภาษณ์สื่ออย่างเปิดเผยว่าถ้าไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศไทย เขาก็จะไม่ทำรัฐประหารแน่
ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงสถานการณ์ในประเทศไทยวันนี้ ว่านับตั้งแต่การยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2563 คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ได้ออกมาประท้วงทั่วประเทศเพื่อทวงอนาคตที่ถูกขโมยไปของพวกเขา
พร้อมข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันสำคัญของประเทศไทย รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้อำนาจดำเนินคดีประชาชนกว่า 2,017 คดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว โดยมีถึง 183 คน รวมทั้งตัวเองด้วย ที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหา 112
นายธนาธร กล่าวด้วยว่า ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร 2557, การส่งกลับชาวอุยกูร์, การรัฐประหารและวิกฤติผู้ลี้ภัยเมียนมา รวมถึงการจับกุมคุมขังเยาวชนผู้ที่ต้องการเพียงอนาคตที่ดีกว่านี้สำหรับประเทศ จะไม่เกิดขึ้นหากเราประสบความสำเร็จในการปกป้องประชาธิปไตยในประเทศไทย
“เมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตยไป มันใช้เวลานานในการกอบกู้ แต่ปีหน้าเราจะมีเลือกตั้ง นี่คือโอกาสสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาล แต่คือการจบระบอบประยุทธ์ ทำให้คนรุ่นใหม่ๆ เชื่ออีกครั้งว่าประเทศนี้เป็นของเราทุกคน” นายธนาธร กล่าว