เปิดศึกค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท รัฐบาล เตะตัดขาเพื่อไทยแลนด์สไลด์

08 ธ.ค. 2565 | 05:36 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ธ.ค. 2565 | 12:49 น.

เปิดศึกค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 600 บาท รัฐบาล หวังเตะตัดขาพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ทั่วทั้งแผ่นดิน

การประกาศนโยบาย "ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ" วันละ 600 บาท และเพิ่มเงินเดือนจบปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570 ของพรรคเพื่อไทย หากได้เป็นรัฐบาล ได้สร้างความฮือฮา ผสมความวิตกกังวลโดยตรงกับภาคเอกชน จนล่าสุดคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต้องออกมาค้านหัวชนฝา เพราะเชื่อว่าจะส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70%

 

แม้ต่อมา พรรคเพื่อไทย นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะตั้งโต๊ะแถลงแจงยิบเกี่ยวกับนโยบายนี้ หลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยยืนยันว่า เป็นวิสัยทัศน์ปี 2570 ของพรรคแสดงให้เห็นว่าถ้าพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และต้องคิดใหญ่เพื่อให้เศรษฐกิจทั้งประเทศเคลื่อนไปด้วยกัน  

 

เช่นเดียวกับ นายทักษิณ ชินวัตร หรือพี่โทนี่ วู้ดซัม ออกมาพูดผ่าน ClubHouse ว่า นโยบายที่พรรคเพื่อไทยประกาศถ้าไม่รู้จริงอย่าโจมตี เพราะเขาพูดแล้วทำได้จริงทุกอย่าง ใครอย่าสบประมาทเพราะทำได้ทุกเรื่อง 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภาพประกอบข่าว พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ช้าหรือเร็ว ในอนาคตข้างหน้าถึงอย่างไรก็ต้องปรับขึ้น เพื่อให้ทันต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน แต่ในการประกาศนโยบายออกมา ณ นาทีนี้ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นด้วยยุทธวิธีช่วงชิงพื้นที่ และการหวังผลทางการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้ 

 

เหมือนที่ “ธนิต โสรัตน์” รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) ให้สัมภาษณ์กับฐานเศรษฐกิจเมื่อวันก่อน โดยยอมรับว่า การเมืองก็คือการเมือง เพราะนโยบายที่ประกาศออกมาก็คืออะไรก็ได้ที่เรียกคะแนนนิยม ซึ่งพรรคเพื่อไทยเอง ก็ถือเป็นหนึ่งในพรรคชอบออกนโยบายประชานิยมอยู่แล้ว 

 

เพราะเมื่อย้อนไปดูนโยบายก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทย ก็เคยประกาศค่าแรงวันละ 300 บาท ดังนั้นในการประกาศนโยบายครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในรูปแบบของการเรียกคะแนนนิยมเช่นกัน แต่การจะทำได้หรือไม่ก็ต้องไปดูว่า ขัดต่อกฎหมายแรงงานหรือไม่อีกด้วย

 

อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่า ในการหาเสียงของพรรคการเมืองจากนี้ไป ทุกพรรคการเมือง จะหันมาเล่นนโยบายประชานิยมในลักษณะนี้ออกมาอีกแน่นอน โดยบางพรรคอาจเกทับประกาศค่าแรงให้มากกว่าหลายพรรคที่ประกาศออกมาแล้วด้วย

 

“ธนิต โสรัตน์” เชื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ล้มกระดานบอร์ดไตรภาคี

ฝั่งของรัฐบาลเอง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากากรกระทรวงกลาโหม ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมครม.เสร็จว่า ต้องไปดูว่า ทำได้จริงไหม หลายเรื่องมีการเปิดเผยมาโดยตลอด แต่ไม่ง่ายนักที่จะทำ 

 

แถมการขึ้นค่าแรงต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี และต้องดูว่า นักลงทุนและผู้ประกอบการจะรับไหวหรือไม่ และปัจจุบันสำหรับแรงงานที่มีฝีมือก็ได้รับค่าแรงสูงมากกว่าวันละ 600 บาทแล้ว และมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ได้ค่าแรงตามขีดความสามารถ และตอบสนองกับแรงงานยุคใหม่ 

 

ขณะที่ “สุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะที่ดูแลนโยบายด้านแรงงานโดยตรง โพสต์เฟซบุ๊กโต้ตอบนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ สรุปได้ว่า พรรคเพื่อไทย หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย 

 

พร้อมระบุ อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเองได้คะแนนเสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะจะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศ เพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน การออกมาพูดแบบนี้ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย

 

อยางไรก็ตามหากพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยแล้ว เมื่อคำนวณออกมาเป็นรายปี โดยใช้ฐานของแรงงานในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบข้อมูลน่าสนใจดังนี้

 

ปี 2566 

  • อัตราค่าจ้างเดิม 353 บาทต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้น 50 บาท เป็น 403 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 14.16%  

 

ปี 2567

  • อัตราค่าจ้างเดิม 403 บาทต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้น 50 บาท เป็น 453 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 12.40% 

 

ปี 2568 

  • อัตราค่าจ้างเดิม 453 บาทต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้น 50 บาท เป็น 503 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 11.03%

 

ปี 2569 

  • อัตราค่าจ้างเดิม 503 บาทต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้น 50 บาท เป็น 553 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 9.94%

 

ปี 2570 

  • อัตราค่าจ้างเดิม 553 บาทต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้น 47 บาท เป็น 600 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 8.50%

 

ตัวเลขดังที่ยกมาข้างต้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เชื่อว่าหลายคนคงจับตากันไม่กระพริบ หากพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ในศึกเลือกตั้งครั้งที่จะถึงในอีกไม่นานต่อจากนี้