วันนี้(4 มิ.ย.66 ) แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้สำนักงาน กกต. จะเสนอเรื่องให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาสั่งนับคะแนนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อใหม่ เนื่องจากพบว่า มีบางหน่วยผลคะแนนไม่เท่ากับจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง
ลักษณะเหมือนกับว่าผู้มาลงคะแนนกับจำนวนบัตรตรงกัน เมื่อตรงกันเวลานับคะแนนก็ควรจะถูกต้องด้วย แต่นี่กลับไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในขั้นตอนการขีดซ้ำ หรือ ลืมขีดตอนขานคะแนน ส่งผลให้คะแนนออกมาไม่ตรงกับจำนวนคนที่มาใช้สิทธิและจำนวนบัตรเลือกตั้ง แบบนี้เรียกว่าคะแนนเขย่ง ไม่ใช่บัตรเขย่ง
ตรงนี้มีความสำคัญกับคะแนนของพรรคการเมืองในส่วนของส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เนื่องจากต้องนำคะแนนของทุกหน่วยเลือกตั้งมาคำนวณเพื่อหาจำนวนทส.ส. ทศนิยม อาจวิ่งไปวิ่งมาได้ทุกพรรค แต่ไม่ได้สั่งให้นับคะแนนใหม่ทั้งหมด จะนับเพียงบางหน่วยเท่านั้น
ดังนั้น เท่ากับว่าขณะนี้จะมี 2 เงื่อนไข คือ 1. การนับคะแนนเขย่งของบัญชีรายชื่อ และ 2 .การพิจารณาประกาศรับรองส.ส.แบบแบ่งเขต ซึ่งจะประกาศครั้งแรกได้ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบจำนวน เพราะว่ามีผู้ชนะการเลือกตั้ง หรือว่าที่ส.ส.ถูกร้องเรียนอยู่ประมาณ 20-30 คน
"ส่วนคำร้องเรียนแบบบัญชีรายชื่อก็มีผล ถ้าในเขตเลือกตั้งนั้นผู้สมัครซื้อเสียงให้กับผู้สมัครบัญชีรายชื่อด้วย เท่ากับว่าคะแนนเขตของพรรคนั้นจะเสียไป จะมีผลเพราะคะแนนบัญชีรายชื่อมันสัมพันธ์กันทั้งประเทศ "แหล่งข่าวระบุ
ส่วนกรณีสืบที่นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ร้อยละ 95 เพื่อให้มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกและดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลพร้อมกับระบุขณะนี้มีคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งกว่า 280 คำร้อง โดยยื่นตรวจสอบว่าที่ส.ส.ประมาณ 20 คนนั้น
แหล่งข่าวจาก กกต. เปิดเผยว่า สำหรับการประกาศรับรองผลตามขั้นตอนของกฎหมาย กกต.ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าการเลือกตั้งมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม
ขณะนี้คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งมีเข้ามาประมาณ 280 เรื่อง เป็นคำร้องที่มีทั้งเรื่องหนักและเรื่องเบา บางเรื่องตรวจสอบแล้วไม่มีมูล จึงสั่งไม่รับไว้พิจารณา
ส่วนคำร้องที่รับไว้พิจารณาขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ตรวจสอบทั้งเอกสารพยานหลักฐานจากทางผู้ร้องและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย
แหล่งข่าวระบุต่อว่า สำหรับผู้ชนะการเลือกตั้ง หรือ ว่าที่ส.ส. 500 คน จากการตรวจสอบพบว่า ถูกร้องเรียนให้ตรวจสอบประมาณ 20-30 คน จากทุกพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง ในเป็นประเด็นการซื้อสิทธิขายเสียง และการหาเสียงหลอกลวง ใส่ร้ายป้ายสี
ส่วนความหนักเบาของเรื่องจะต้องดูตามข้อเท็จจริงอีกครั้ง ดังนั้น เมื่อผู้ชนะการเลือกตั้ง หรือ ว่าที่ส.ส.ถูกยื่นร้องให้ตรวจสอบ ตามขั้นตอ น กกต.จะต้องสืบสวนข้อเท็จจริง เพราะตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 127 กำหนดว่า การเลือกตั้งทั่วไป กกต.จะประกาศผลการเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตได้เมื่อตรวจสอบเบื้องต้นแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของเขตเลือกตั้งทั้งหมด
เมื่อมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กว่า 20-30 คน ถูกยื่นร้องให้ตรวจสอบ จึงเป็นสาเหตุที่กกต.ไม่อาจทยอย หรือ แยกประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส. บางเขตไปก่อนได้
แต่ยืนยันว่า กระบวนการประกาศรับรอง ส.ส.จะเป็นไปตามขั้นตอน ไม่ชักช้าแน่นอน จะพยายามเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามกรอบระยะเวลาภายใน 60 วัน แต่จะไม่รวบรัดป้องกันซ้ำร้อยเหมือนกรณีการให้ใบส้ม นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.)