8 มิถุนายน 2566 ที่โรงแรม Novotel Bangkok Platinum ประตูน้ำ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน 2566 ว่า ในกฎหมายไทย มีโทษอยู่ 5 อย่างคือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และ ริบทรัพย์สิน โดยการลงโทษแบบกักกันไม่ได้อยู่ในกฎหมายนี้แต่เป็นสิ่งที่เราเรียกว่า วิธีการเพื่อความปลอดภัยและไม่ใช่โทษ แต่ติดปัญหาที่ว่าการกักกันจะใช้พื้นที่ไหน
กรมราชทัณฑ์ จึงได้มีการออกระเบียบดังกล่าวออกมาใช้ในกรณีเช่น เด็กและเยาวชน ศาลสั่งกักกันจะที่บ้านกับผู้ปกครองได้ซึ่งหลักการมีแค่นี้แต่หลายคนเอาเรื่องนี้ไปโยงกับโทษที่นักโทษกลับเข้ามามอบตัวแล้วเอาไปกักกันที่บ้านซึ่งเป็นคนละอย่างกัน ใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้ เนื่องจากถูกลงโทษไม่ใช่ถูกกักกัน
สำหรับกรณีที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศระเบียบดังกล่าวออกมามีการโยงในประเด็นอื่น ๆ นั้น นายวิษณุ กล่าวชี้แจงว่า เนื่องจากก่อนหน้านี้ติดขัดปัญหาหลายอย่างจึงเพิ่งประกาศใช้ซึ่งเรื่องนี้นำไปโยงในทางที่ไม่ถูก เช่น กรณีกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีอำนาจใหญ่โตมโหฬารปลดนายกฯได้ มีตนเองและพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ ซึ่งเรื่องนี้มีการตั้งมานานแล้วแต่ไม่มีอำนาจไปปลดใครได้ ข้อสำคัญ คือ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
กรณีนี้ถูกโยงไปถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะกลับประเทศด้วยนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า อย่าเอามาโยงกันเพราะเคยให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้แล้วว่า นโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถ้ามีโทษให้ไปรับโทษ โดยกักตัวที่บ้านได้ซึ่งยังไม่มีระเบียบออกมา
ขณะนี้มีเพียงกฎหมายกระทรวงที่ออกมาแล้ว เมื่อปี 2552 สมัยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ทั้งนี้ การที่จะถูกขังมี 3 ประเภทแต่ให้เปลี่ยนไปขังที่บ้านได้ คือ
1. คนที่อยู่ระหว่างการสอบสวน
2. คนที่ถูกศาลสั่งจำคุกและรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3
3.หญิงมีครรภ์ที่ศาลสั่งประหารชีวิตแต่ยังไม่คลอด จึงต้องไปขังไปไว้ก่อน โดยจะไปขังที่บ้านหรือโรงพยาบาลก็ได้
ขอย้ำว่า เรื่องดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกัน ประกาศนี้ควรจะออกมา 2-3 เดือนก่อนหน้านี้แต่เพิ่งดำเนินการเสร็จจึงออกมาในช่วงนี้
ส่วนกรณีการขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษทางการเมืองนั้น นายวิษณุ อธิบายว่า ไม่ว่าจะเป็นนักโทษการเมืองหรือไม่ใช่นักโทษการเมืองก็ตามใช้หลักเกณฑ์เดียวกันทั้งหมดในการขอพระราชทานอภัยโทษ ขอเมื่อใดก็ได้แต่ถ้าถูกยกคำขอ อีก 2 ปีจึงจะขอใหม่ได้ซึ่งเป็นการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการส่วนตัว แต่หากขอพระราชทานอภัยโทษแบบครอบจักรวาล คือ การออกพระราชกฤษฎีกามาแล้วกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาซึ่งในเรื่องนี้ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกานี้อาจจะมีในปีหน้าตอนช่วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ 72 พรรษา
ขอย้ำว่า ผู้ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจะต้องรับโทษก่อน จึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ และการขอพระราชทานอภัยโทษจะใช้เวลาเท่าใดก็แล้วแต่กระบวนการและไม่มีเวลากำหนดว่า จะต้องรับโทษจำนวนเท่าใด เรื่องนี้เป็นพระราชอำนาจไม่มีกำหนด แต่หากการของพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกา มีเกณท์ คือ รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 ปี