จากโผครม.ล่าสุด รัฐบาลเศรษฐา 1 หลังการหารือร่วมกันของ 11 พรรคร่วมรัฐบาล ได้ข้อสรุปว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย มีการแต่งตั้งและเจรจาทาบทามหาผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งดูแลด้านต่างๆ ตามนโยบายของพรรค ทั้งในด้านการคลัง เศรษฐกิจ การต่างประเทศ คมนาคม พาณิชย์ พลังงาน อุตสาหกรรม เกษตรกรและสหกรณ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอีกหลายภาคส่วน
ในด้านของเศรษฐกิจและงานต่างประเทศ ก็ได้ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร(ดร.ตั๊ก) อดีตข้าราชการ และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และการเมือง ที่มีบทบาทด้านการบริหารจัดการด้านราชการ การค้า การลงทุน และการต่างประเทศ เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจและต่างประเทศ
ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร เคยให้สัมภาษณ์สื่อในเครือเนชั่นเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวและเส้นทางการทำงานในแวดวงการเมืองหลายยุคสมัย พร้อมเล่าถึงประสบการณ์การทำงานด้านเศรษฐกิจและงานต่างประเทศมากมาย
ประวัติ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร
ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร (ชื่อเล่น : ตั๊ก) เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2500 อายุปัจจุบัน(2566) : 65 ปี
ครอบครัวของดร.ปานปรีย์เป็นข้าราชการ มีคุณปู่(พระพหิทธานุกร) เคยเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศ และเป็นทูตในหลายประเทศ ส่วนคุณพ่อ(ปรีชา พหิทธานุกร) สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่สวิตเซอร์แลนด์ ก่อนกลับมาทำงานในกระทรวงต่างประเทศ
ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร จบการศึกษาระดับปริญญาตรี - สำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์บัณฑิต ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้เดินทางไปศึกษาระดับปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริการะดับปริญญาเอก ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ที่ Claremont Graduate University (CGU) สหรัฐอเมริกา
ดร.ปานปรีย์ เล่าว่าในสมัยไปเรียนปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย อเมริกา เขาได้เจออาจารย์เก่งๆหลายคน อย่างวอร์เรน เบนนิส(Warren Bennis) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะผู้นำ และการเรียนแบบฝรั่งก็ตรงกับจริตของเขา เพราะเป็นคนไม่ชอบถูกบังคับให้ท่องจำ
จุดเปลี่ยนชีวิตของ ดร.ปานปรีย์ เกิดขึ้นเมื่อคุณพ่อและคุณแม่เสียชีวิต ซึ่งตอนนั้นดร.ปานปรีย์ อายุ 22 ปี
"คุณพ่อและคุณแม่ผมเสียชีวิตเร็ว ผมก็ไปบวชให้ท่าน จากคนที่ชอบเที่ยว เมาเฮฮา จึงได้พบเส้นทางใหม่ จะเละเทะต่อไปไม่ได้ ตอนนั้นอายุ 22 ปีไม่มีพ่อแม่แล้ว จึงไปเรียนต่อจนจบปริญญาเอก เพื่อนๆ ก็ตกใจ เพราะตอนเรียนเตรียมอุดมและเรียนปริญญาตรีที่จุฬาฯ ไม่เห็นเป็นแบบนี้ สนุกสนานเตะบอล พอเรียนปริญญาโทและปริญญาเอก ชีวิตมีสาระมากขึ้น" ดร.ปานปรีย์ระบุ
หลังจบการศึกษา ดร.ปานปรีย์ตัดสินใจก้าวสู่เส้นทางราชการ สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีหลายคน และมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่เป็นสถานที่สูงสุดในการตัดสินใจของประเทศ
"สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผมเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เจ้าหน้าที่กองประสานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อยู่ในห้องครม.ก็วิ่งรับใช้คนนั้นคนนี้ อดีตนายกฯชวน หลีกภัย ท่านบรรหาร ศิลปอาชา ผมก็รับใช้ โชคดีที่เจ้านายเมตตา ให้เราเข้าไปอยู่ในจุดที่สำคัญที่สุดของการบริหารราชการแผ่นดิน ได้เห็นกระบวนการตัดสินใจ" ดร.ปานปรีย์ระบุ
ต่อมาในสมัย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 17 ดร.ปานปรีย์ ก็ถูกดึงไปช่วยงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ทำให้เขาได้เห็นการบริหารประเทศอีกมุม การแต่งตั้งโยกย้าย การนำเสนอในครม. และกระบวนการแลกเปลี่ยน
สำหรับพลเอกชาติชาย นอกจากมีฐานะเป็นเจ้านายในการทำงานแล้ว ยังมีศักดิ์เป็นตาของภรรยาของดร.ปานปรีย์ (นางปวีณา พหิทธานุกร) หรือ คุณกิ๊ก ส่วนลูกสาวคือ นางสาวปัทมรัตน์ พหิทธานุกร(คุณฝ้าย) ปัจจุบันเรียบจบปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจบปริญญาโทด้าน Entreprenuership and Innovation Management ที่ประเทศอังกฤษ
ดร.ปานปรีย์จึงเป็นทั้งลูกน้องและหลานเขย ของพลเอกชาติชาย
เมื่อพลเอกชาติชายถูกปฏิวัติเมื่อปี 2534 ดร.ปานปรีย์ ถูกคณะปฏิวัติควบคุมตัวพร้อมพลเอกชาติชาย พร้อมกับทีมที่ปรึกษากลุ่มบ้านพิษณุโลก ไปไว้ที่สโมสรกองทัพอากาศ
ดร.ปานปรีย์ เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นว่า เขาถามทหารที่จับกุมตัวพวกเขาว่าจะพาไปไหน เขาก็บอกว่าไม่ต้องรู้ แล้วจับขึ้นรถ เลี้ยวไปเลี้ยวมา ไปไหนไม่รู้ สุดท้ายไปที่บ้านรับรอง ท่านนายกฯพลเอกชาติชาย ท่านถามว่า ทำไมนำเขามาที่นี่ เขาเป็นข้าราชการประจำ ไม่เกี่ยวกับการเมือง ทหารบอกว่า ให้ดร.ปานปรีย์มาดูแลท่าน ให้ผมนอนห้องเดียวกับท่าน
ในมุมหนึ่ง ท่านเป็นตาของภรรยา แต่ในหน้าที่การงานเป็นเจ้านาย ผมบอกไปว่าไม่ขอนอนกับท่าน แต่ทหารบอกว่าไม่ได้ ผมจึงต้องอยู่ในห้องเดียวกับท่านตลอด 24 ชั่วโมงช่วง 15 วัน ท่านคุยหลายเรื่องให้ผมฟัง เรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องที่ทหาร นักธุรกิจและนักการเมืองต้องการคืออะไร การเมืองแบบนี้มีมาตั้งแต่ปี 2475
เราก็ได้เห็นตัวตนของท่าน ภาพที่เป็นเพลย์บอย สนุกสนาน ไม่ซีเรียส ไม่ใช่เลย ท่านมีสาระที่เข้มข้นและประสบการณ์สูงมาก สูงขนาดที่ว่าปล่อยวางลงได้หมด
หลังจากพลเอกชาติชายถูกปฏิวัติ ดร.ปานปรีย์ก็ตัดสินใจลาออกจากราชการ ไปอยู่ที่อังกฤษกับพลเอกชาติชาย ก่อนกลับประเทศไทยมาทำงานในภาคเอกชน
ในปี 2539 สมัยรัฐบาล พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ดร.ปานปรีย์ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ และในปี 2545 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา
ในปี 2546 เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างปี 2546-2548 ได้รับมอบหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าคณะเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (ประเทศอินเดีย และกลุ่มประเทศ BIMST-EC) และในปี 2547 ต่อมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม มีบทบาทสำคัญในการวางแผน แก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่ออุตสาหกรรมใน Eastern Seaboard จนเป็นผลสำเร็จ
ในปี 2548 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนการค้าไทย และได้รับมอบให้ทำหน้าที่ประธานกรรมการส่งเสริมการลงทุนและการค้าภายใต้กรอบความตกลงเขตการค้าเสรี ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า
ในปี 2551 เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อันดับ 1 รับผิดชอบในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และเป็นกรรมการยุทธศาสตร์พรรค
ในปี 2556 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ตำแหน่งการทำงานเด่นๆ ที่ได้รับมอบหมายในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา
นอกจากจะเป็นอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และยังเป็นอดีตผู้แทนการค้าไทยในยุครัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร รวมถึงเป็นอดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ของนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี (หมอเลี้ยบ) และอดีตประธานบอร์ดบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในสมัยรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอีกด้วย
การทำงานของดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกรที่ผ่านมามีทั้งการทำงานในระบบราชการ แวดวงธุรกิจ และการทำงานกับนักการเมือง ดร.ปานปรีย์เผยว่า ตนได้ศึกษาด้านพฤติกรรมมนุษย์มาจากการเรียนปริญญาเอก พร้อมบอกว่า ตนพอจะเข้าใจวิธีคิด และรู้ว่าผู้ที่ร่วมงานด้วยต้องการอะไร ชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน
ในด้านของนโยบายรัฐบาล ตนมองว่าต้องมีนโยบายที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และสามารถนำนโยบายไปทำได้จริง ทั้งมุมต่างประเทศและในประเทศ
มุมมองภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี 2566 เป็นอย่างไร
ดร.ปานปรีย์เผยว่าตอนนี้ไทยมีหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะสูงมาก ตนอยากให้เศรษฐกิจเติบโต และก้าวผ่านประเทศที่มีรายได้ปานกลาง เพราะหากเรายังอยู่ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ เราจะไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้
เป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จ
ตนอยากทำงานเพื่อสังคม และอยากทำงานด้านเศรษฐกิจ เพราะมีประสบการณ์การทำงานด้านนี้มานาน ในสมัยท่านนายกรัฐมนตรีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธเอง ดร.ปานปรีย์ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ รวมถึงในสมัยช่วยงานพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ตนก็ได้ทำงานด้านเศรษฐกิจมาเช่นเดียวกัน
จากประวัติการทำงานในสายเศรษฐกิจของดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี ผู้มีประสบการณ์การทำงานในแวดวงการเมืองมาแล้วหลายยุค ผ่านงานมาหลายตำแหน่งหน้าที่ ทำให้ดร.ปานปรีย์คนนี้มีความเชี่ยวชาญในการเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจและดูแลงานต่างประเทศไม่น้อย
ประกอบกับการทำงานร่วมกันของกระทรวงต่างๆ ที่จะถูกจัดตั้งขึ้นในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องล่วงเลยมาจนถึงไตรมาสที่สามแล้ว และยังคงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลไทยในขณะนี้เช่นกัน