“บิ๊กโจ๊ก”แจงยิบคดี“กำนันนก”โอนให้กองปราบฯ ตั้งแต่วันแรกแล้ว

18 ก.ย. 2566 | 05:29 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ย. 2566 | 05:33 น.

“บิ๊กโจ๊ก”แจงยิบคดี“กำนันนก”โอนคดีให้กองปราบฯ ทำตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุแล้ว ผบ.ตร.โทรหาให้ทางกองปราบฯ แจ้งข้อหาเอาผิดตำรวจละเว้นปฏิบัติหน้าที่-ให้การเท็จ ย้ำทำงานไม่มีเคลือบแคลง-ไม่มีวาระซ่อนเร้น เดินหน้าสางคดีฮั้วประมูล

ความคืบหน้าคณะทำงานชุดคลี่คลายคดีที่มี บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นหัวหน้าร่วมประชุมทีมสืบสวนสอบสวนทั้งหมด เพื่อสรุปรายชื่อ ตำรวจและพลเรือนที่ให้การไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคลิปวงจรปิดภายในบ้าน “กำนันนก” แต่ปรากฏว่าสุดท้ายได้มีการโอนคดีให้กับทางกองปราบปราบ เป็นผู้ดำเนินการรับผิดชอบคดีทั้งหมด

ล่าสุด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า ในเรื่องของการโอนคดีที่หลายคนสงสัยนั้น เรื่องนี้ทาง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการโอนคดีตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุแล้ว เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น จึงโอนให้กองปราบฯทำคดี เพราะตำรวจท้องที่อาจจะรู้จัก ใกล้ชิดกับผู้ต้องหา การทำสำนวนอาจไม่มีความเป็นธรรม

“ผมคุมงานทีมสืบสวน มีการนำชุดสืบสวนเข้าช่วยกองปราบฯทำงาน คดีนี้จุดสำคัญต้องมีการขยายผล เพราะที่เกิดเหตุมันเละ ตำรวจไม่ทำหน้าที่ เมื่อมีการโอนสำนวนให้กับกองปราบฯ จึงต้องมีการโอนคดีทุจริตของตำรวจเข้าไปด้วย จึงเป็นหน้าที่ของกองปราบฯ ในการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหากับตำรวจที่เกี่ยวข้อง เพราะในรายงานการสืบสวน ระบุชัดว่าใครทำอะไรบ้าง”

เมื่อถามว่าวันแรกมีการโอนคดีเกี่ยวกับคดีหลักให้กับกองปราบฯ ทำ แต่คดีที่เกี่ยวเนื่องยังไม่มีคำสั่งเพิ่งมาโอนภายหลัง เรื่องนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า คดีนี้เมื่อโอนคดีหลักไปแล้ว คดีเกี่ยวพันกับการทุจริต ต้องไปพร้อมกันอยู่แล้ว ไม่ต้องมีคำสั่ง

“ตั้งแต่วันแรกของการทำงาน มีทีมสืบสวนของกองปราบฯ ทำงานร่วมกันอยู่แล้วทุกวัน เป็นการทำงานที่รวดเร็ว เพราะทีมกองปราบชุดนี้ทำงานร่วมกันตั้งแต่คดี “แอม ไซยาไนด์” ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ เมื่อวานนี้ได้มีการทำรายงานระบุไปชัดเจนว่าใครทำอะไรบ้าง หลังจากจากนี้จะต้องมีการพิจารณาตามข้อเท็จจริงว่ามีตำรวจคนไหนเกี่ยวข้องบ้าง”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนที่ยังรับผิดชอบอยู่จะเกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูล การเลี่ยงภาษี ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ย.) จะมีการนัดประชุม 6 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สตง.-ป.ป.ช.-ป.ป.ง.-กรมบัญชีกลาง และ สรรพากร ในส่วนของ “กำนันนก” พยานหลักฐานจบแล้ว เป็นแค่ปลายเหตุ การดำเนินคดีในลักษณะนี้จะต้องไล่ที่ต้นเหตุ ซึ่งเรื่องนี้เราจะต้องทำต่อกับทางภาค 7

“คดีฮั้วประมูล ยังไม่เริ่มต้น จึงต้องมีการบูรณาการหลายส่วน จะปล่อยลูกน้องทำไม่ได้ จำเป็นจะต้องให้ผู้ใหญ่กำกับ เพราะเป็นการบูรณาการหน่วยนอก ต้องนำหลายหน่วยมาร่วมทำงาน พูดคุยกันหลายฝ่าย”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้กล่าวย้ำว่า เรื่องการโอนคดีไม่มีอะไรเลย เมื่อวานนี้ทางด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ได้โทรศัพท์ติดต่อมาว่า การแจ้งเอาผิดตำรวจที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการแจ้งที่กองปราบฯ เป็นไปในรูปของคณะกรรมการ ต้องมีการหารือกัน และเมื่อมีการแจ้งข้อหาตำรวจแล้วจะต้องนำหลักฐานทั้งหมดชุดสืบสวนมาทำการขยายผลต่อ

“วันนี้เราไม่ทราบว่าใครคิดอย่างไร หลักการทำงาน ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ต้องดำเนินคดี ถ้าเราไปช่วยใคร สุดท้ายจะย้อนมาสู่ตัวเอง อำนาจรัฐที่จะปกป้องคุ้มครองประชาชน จะเห็นได้ว่าตำรวจถูกยิงประชาชนจะอยู่อย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ตั้งให้เกิด เมื่อวิทยาศาสตร์ กล้องวงจรปิด ปรากฏ เราเห็นจึงพบว่าคำให้การตำรวจขัดแย้งทั้งหมด โกหกทั้งหมด เมื่อคำให้การขัดแย้ง ต้องพิจารณาว่าใครละเว้น ใครบอกว่าช่วยแล้วไม่ช่วย มันพิจารณาง่าย”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “ในการทำงานของผม ไม่มีเคลือบแคลง ไม่มีวาระซ่อนเร้น ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ทำหน้าที่เป็นตำรวจ ที่ไม่มีการแจ้งข้อหาตำรวจเมื่อวานนี้ เพราะท่าน ผบ.ตร.โทรศัพท์แจ้งมาให้แจ้งที่กองปราบ ฯ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องติดตามว่า กองปราบจะแจ้งข้อหาใครบ้าง เข้าใจได้ว่า เมื่อเราทำคดีอาจมีคนถูกใจไม่ถูกใจ ไม่เป็นไรยึดถือประโยชน์ส่วนรวม

“เมื่อวานนี้เรารายงานการสืบสวนทั้งหมดแล้ว หลังจากนี้เป็นการพิจารณาของกองปราบฯ ด้วยความเป็นธรรธ ถ้าไม่พิจารณาด้วยความเป็นธรรม อาจจะโดนในส่วนของการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้” บิ๊กโจ๊ก ระบุ