วันนี้(11 ต.ค.66) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง ยื่นฟ้องคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ปลัดกระทรวงมหาดไท ยเป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 ขอให้ศาลฯ มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงมหาดไทย (มท.) ที่ 280/2557 ลงวันที่ 28 พ.ค. 2557 ที่ลงโทษไล่ นายวงศ์ศักดิ์ ออกจากราชการ และคำสั่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นายวงศ์ศักดิ์ ถูกกระทรวงมหาดไทยไล่ออกจากราชการ เนื่องจากป.ป.ช. มีมติชี้มูลว่า กระทำความผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จากเหตุทุจริตการสอบคัดเลือกข้าราชการเพื่อเข้าศึกษาอบรมหลักสูตรนายอำเภอปีงบประมาณ 2552
ส่วนเหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้อง ระบุว่า แม้ ป.ป.ช.จะชี้มูลความผิดทางวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แก่ นายวงศ์ศักดิ์ แต่ก็มีการชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริตตามมาตรา 85 ( 1) พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 อันเป็นการชี้มูลความผิด นายวงศ์ศักดิ์ ว่า ได้กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ตามมาตรา 19(3) พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. 2542 จึงถือได้ว่าการชี้มูลความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการเป็นการดำเนินการโดยชอบแล้ว
และหลังชี้มูลได้ส่งรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงเอกสารที่เกี่ยวข้อง และความเห็นไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย ซึ่งมาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช 2542 ได้บัญญัติให้ถือว่ารายงานเอกสารและความเห็นของป.ป.ช.เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยขึ้นมาอีก
ดังนั้น การที่ป.ป.ชไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิด นายวงศ์ศักดิ์และปลัดกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 280/2557 ลงวันที่ 28 พ.ค.2557 ลงโทษ นายวงศ์ศักดิ์ ออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย 2554 ในส่วนที่ นายวงศ์ศักดิ์ กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ จึงชอบด้วยขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว
ส่วน นายวงศ์ศักดิ์ กระทำผิดทางวินัยฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ชอบเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา 85 (1) พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 หรือไม่
เห็นว่า นายวงศ์ศักดิ์ ในฐานะอธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกรมการปกครอง มีประวัติรับราชการในตำแหน่งสำคัญมาโดยตลอด ย่อมตระหนัก และคาดการณ์ได้ว่าการสอบคัดเลือกดังกล่าวอาจจะมีความผิดปกติเกิดขึ้น จึงชอบที่จะเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบโดยเร็ว
แต่ นายวงษ์ศักดิ์ กลับไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับเรื่องดังกล่าว หากมีการตรวจสอบ ย่อมต้องพบความผิดปกติในการให้คะแนนสอบ ที่ไม่ตรงกับเนื้อหาในกระดาษคำตอบตั้งแต่ต้น การไม่ตรวจสอบจึงผิดวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองพึงกระทำ
เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ ได้แก่พยานรายนายวุฒิชัย เสาวโกมุท อดีตผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นพยานสำคัญในการดำเนินการปรับเพิ่มคะแนนและเป็นผู้ประสานให้ผู้เข้าสอบจำนวน 150 รายเขียนกระดาษคำตอบขึ้นใหม่ตามคำสั่งของ นายวงศ์ศักดิ์ และพยานอีก 20 คน ซึ่งเป็นผู้ผ่านการคัดเลือกได้ให้การว่า ได้เขียนกระดาษคำตอบใหม่ตามคำสั่งของกรมการปกครอง และอธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งหมายถึง นายวงศ์ศักดิ์ อันเป็นคำให้การยอมรับสารภาพที่เป็นหลักฐานสำคัญ ทำให้พฤติการณ์และข้อเท็จจริงมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน
โดยพยานดังกล่าว มิได้มีเหตุโกรธเคืองกับ นายวงศ์ศักดิ์ มาก่อน จึงเชื่อได้ว่า นายวงศ์ศักดิ์ มีส่วนร่วมในการสั่งการให้ปรับเพิ่มคะแนนสอบเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เข้าสอบที่มีรายชื่อตามใบฝาก หรือโผฝากประมาณ 150 รายชื่อ และสั่งการให้ปกปิดข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการทุจริตในการสอบคัดเลือกดังกล่าว โดยใช้วิธีการเขียนกระดาษคำตอบขึ้นใหม่ให้สอดรับกับคะแนนสอบที่ได้ปรับเพิ่มขึ้น อันเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวางในการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาอบรมหลักสูตรนายอำเภอปีงบประมาณ 2552
โดยที่ นายวงศ์ศักดิ์ เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการดำเนินการคัดเลือกข้าราชการ เพื่อเข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตรในอำเภอซึ่ งจะต้องดำเนินการคัดเลือกข้าราชการ ที่มีความรู้ความสามารถมีความเหมาะสมสำหรับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอต่อไป ตามหลักคุณธรรมและปราศจากการแทรกแซงจากอำนาจใดๆ
แต่ นายวงศ์ศักดิ์ กลับอาศัยอำนาจหน้าที่ของตนช่วยเหลือผู้เข้าสอบที่มีรายชื่อตามใบฝากหรือโผฝากประมาณ 150 รายชื่อ ให้ได้รับการคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาอบรมหลักสูตรในอำเภอปีงบประมาณ 2552 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันถือว่ามีความประพฤติไม่ซื่อสัตย์ สุจริต ต่อตำแหน่งหน้าที่ของตน เป็นการปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองหรือผู้อื่นซึ่งเป็นการทุจริตต่อหน้าที่
และเป็นการกระทำครบองค์ประกอบของการกระทำความผิดวินัย ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการอันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 85(1)พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 ตามที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไว้ ข้ออ้างของนายวงศ์ศักดิ์ที่ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจึงไม่อาจรับฟังได้
ดังนั้น การที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 280/2557 ลงวันที่ 28 พ.ค 57 ลงโทษไล่นายวงศ์ศักดิ์ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2554 จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมและเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนข้อโต้แย้งของนายวงศ์ศักดิ์ ทั้งกรณี คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีประกาศให้รัฐธรรมนูญ 2550 สิ้นสุดลง และทำให้พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. 2542 สิ้นสุดลงไปด้วย การที่ นายประสาท พงษ์ศิวาภัย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง เป็นผู้มีเหตุโกรธเคืองกับตนเองทำให้มีลักษณะต้องห้ามในการมาเป็นอนุกรรมการไต่สวน หรือการที่ป.ป.ช. กัน นายวุฒิชัย ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด ไว้เป็นพยานเป็นการกระทำที่ไม่ชอบกฎหมาย ศาลเห็นว่าเป็นข้ออ้างที่ไม่อาจรับฟังได้