ครม.ไฟเขียวตั้ง “ชัยเกษม-นิพัทธ์-พิชัย-สงคราม” นั่งที่ปรึกษานายกฯ

วันนี้ (16 ตุลาคม 2566) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหาร ระดับสูง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 4 ราย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป ประกอบด้วย

1. นายชัยเกษม นิติสิริ
2. พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก
3. นายพิชัย นริพทะพันธุ์
4. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์

ก่อนหน้านี้ ครม.ได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแล้ว 1 ราย คือ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2566 โดยตาม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 กำหนด ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถแต่งตั้งได้รวม 5 ตำแหน่ง

โดยมีอัตราเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งรวมเดือนละ 72,660 บาท แบ่งเป็น เงินดือน 57,660 บาท และเงินประจำตำแหน่ง 15,000 บาท

สำหรับประวัติที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 4 ราย สรุปได้ดังนี้ 

นายชัยเกษม นิติสิริ

สำหรับ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา เกิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2491 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญ มัธยมปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่นที่ 28 สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีแผนกนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 2) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

รวมทั้งปริญญาโท L.L.M จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยทุนรัฐบาลตามความต้องการของกรมอัยการ (สำนักงานอัยการสูงสุด) และทุนของมูลนิธิ Starr ประเทศสหรัฐอเมริกา) และยังจบการศึกษาเนติบัณฑิตไทย จากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา

โดยนายชัยเกษม เป็นนักกฎหมายอาวุโส มีตำแหน่งทางวิชาการเป็นศาสตราจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด และดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงยุติธรรมในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เขาเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ไม่ยอมลาออก จนกระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนเกิดการรัฐประหาร

พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2498 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์, โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 14, โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 25, หลักสูตรหลักประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ 65 และยังสำเร็จหลักสูตรทางการทหารจากออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และสหรัฐ รวมถึงปริญญาโทศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (การจัดการ) จากมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์อีกด้วย

ส่วนการทำงาน พล.อ. นิพัทธ์ เริ่มชีวิตราชการทหารในตำแหน่งผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ต่อมาได้ปรับย้ายเป็น ผู้บังคับกองร้อยฝึก ร.21 พัน.3 รอ. ปฏิบัติการตามแผนป้องกันประเทศ อำเภอวัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรี และขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2556 

จากนั้นหลัง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. มีคำสั่งให้ย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2504 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ และระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ และระดับปริญญาโท ด้านการบริหารธุรกิจ (MBA) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ส่วนการทำงานเคยเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอัญมณีและการส่งออก จากนั้นเข้าสู่วงการการเมือง โดยเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช จนเมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งยังเป็น รองประธานยุทธศาสตร์และการเมืองของพรรคเพื่อไทยด้วย

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2487 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีศิลปศาสตรบัณฑิต จากสถาบันราชภัฏธนบุรี และนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ส่วนในระดับปริญญาโทอีก 2 ปริญญา ด้านบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการทั่วไป จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย และรัฐประศาสนศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

นายสงคราม เป็นนักธุรกิจนำเข้าสินค้าของเด็กเล่นจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ก่อนทำงานด้านงานการเมือง โดยเคยเป็นที่ปรึกษาประธานรัฐสภา (ดร.โภคิน พลกุล) และที่ปรึกษาให้กับ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งเหรัญญิกพรรคพลังประชาชน

รวมทั้งยังเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในปี 2551 ก่อนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน และปัจจุบันย้ายมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย