วันนี้ (25 มกราคม 2567) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกในฐานะ สส.รอบ 6 เดือน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ในคดีถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพความเป็นสส.ไม่สิ้นสุดลง
นายพิธากล่าวว่า ไออุ่นที่คุ้นเคย นับรวมเวลาแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคมก็น่าจะ 6 เดือนที่ไม่ได้มีโอกาสแถลงข่าวที่สภา ในบรรยากาศกับพี่น้องสื่อมวลชน พี่น้องประชาชน นักศึกษาที่มาฝึกงานที่มาเยี่ยวสภา ยังรู้สึกว่า สภาเป็นพื้นที่รวมตัวของสังคมไทย ของพี่น้องประชาชนก็คิดถึงบรรยากาศนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกว่าเสียดายเวลา 6 เดือนที่หายไปหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เวลาที่เสียไปที่เป็นรูปธรรมก็คือ โอกาสในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร หรือถ้ามีครั้งที่สองแล้วดีขึ้น จะกลายเป็นครั้งที่สามหรือไม่
นายพิธากล่าวว่า แต่เราบริหารจัดการสถานการณ์ได้ตรงที่ว่าระยะเวลา 6 เดือน เราใช้เวลาพบปะกับพี่น้องประชาชน ทำงานกับเพื่อน สส.ในการลงพื้นที่ ในช่วงที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ลงพื้นที่ เช่น สมุทรปราการ ภูเก็ต จึงจะใช้ข้อมูลที่ได้จากการพบกับผู้นำท้องถิ่นมาอภิปรายญัตติของพรรคภูมิใจไทยในวันพรุ่งนี้ (26 มกราคม 2567) ที่ตนมีเวลา 7 นาที จึงไม่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเสียดาย นอกจากนี้ในวันพรุ่งนี้จะมีการแถลงแผนงานของพรรคก้าวไกล ปีนี้ เป้าหมายของพรรคก้าวไกลคืออะไร การทำงานในเชิงปฏิบัติการคืออะไร ประชาชนและสมาชิกพรรคจะได้มีส่วนร่วม
เมื่อถามว่า ภารกิจแรกหลังจากกลับมาเป็น สส.คืออะไร นายพิธากล่าวว่า คุยกับเพื่อน สส. ทักทายให้หายคิดถึง และตอนนี้มีนักศึกษาแวะมาที่สภากันจำนวนมาก มีเยาวชนมาก็จะแวะไปพูดคุย และรอหาจังหวะเข้าห้องใหญ่โดยไม่รบกวนเพื่อนสส.ที่กำลังอภิปรายกระทู้อยู่
เมื่อถามว่าจะดำเนินคดีกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ร้องคดีหุ้นไอทีวีหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่มี เพราะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วในอดีต โฟกัสกับปัจจุบัน ใช้สมาธิ ทรัพยากร เวลาในการทำงานกับปัจจุบันและอนาคตที่จะถึงนี้ตามที่จะแถลงแผนงานของพรรคก้าวไกลในวันพรุ่งนี้
เมื่อถามว่าจะมีโอกาสเป็นหัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า แยกเป็นสองส่วน การประชุมวิสามัญฯในเดือนเมษายน และสอง ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันก็ทำได้ดี จึงไม่มีความจำเป็น แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับสมาชิก
“ไม่จำเป็นต้องเลื่อนวันประชุมวิสามัญฯของพรรคให้เร็วขึ้น คิดว่าเดือนเมษายนที่กรรมการบริหารพรรคทำงานครบสี่ปี ตามวาระก็ต้องเปลี่ยน ไม่ได้เกี่ยวกับคดีของผม ครบวาระสี่ปีพอดี ก็ต้องมีการเปลี่ยนวาระ เป็นเรื่องปกติว่าแกนนำควรจะเป็นใคร กรรมการบริหารควรจะเป็นใคร”นายพิธากล่าว
เมื่อถามว่า ต้องจับตาโครงการแลนด์บริดจ์ของรัฐบาลเป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า จับตาเป็นพิเศษเพราะว่า โครงการเรือธงของรัฐบาล คือ ดิจิทัลวอลเล็ต แลนด์บริดจ์ และซอฟต์พาวเวอร์ มีหลายเรื่องตรงกันและเรื่องที่ต้องพูดคุยกันเป็นพิเศษ อาจจะต้องมองในมุมกว้างด้วย มุมลึกด้วย ทางเลือกมีอะไร เป้าหมายคืออะไร ถ้าเป้าหมายคือต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้หรือต้องการแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในการเดินเรือ ก็ต้องฟังเป้าหมายให้ชัด มีทางเลือกอะไรบ้าง ทำความเข้าใจระหว่างกัน
นายพิธากล่าวว่า ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ตนคิดว่า ขณะนี้ประชาชนเดือนร้อนพอสมควร และเศรษฐกิจโตช้า ซบเซามาเป็นเวลานาน
“ผมกังวลว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยการใช้งบประมาณระยะยาวจนทำให้ไม่มีพื้นที่ทางการคลังในการแก้ไขปัญหาระยะยาวหรือพื้นที่นแบบอื่น ไม่ได้เป็นไปในทางที่เหมาะสม จึงอยากชวนรัฐบาลคิดว่ามีแผนสองไหม ในกรณีนโยบายที่หาเสียงมาไม่ผ่าน และอยากให้ลองคิดว่า วิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจในฐานรากขึ้นมา อย่าดูถูกโครงการเล็ก ๆ เพราะพอทำรวมกันมีพลังและเศรษฐกิจจะระเบิดขึ้นมา สามารถช่วยได้ตรงจุด ประหยัดงบประมาณ”
เมื่อถามว่า คาดหวังนายกรัฐมนตรีจะมาตอบกระทู้ในสภาด้วยตัวเองหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เวลาจะคาดหวังอะไรกับใครก็ต้อง apply กับตัวเองด้วย ถ้าวันหนึ่งที่เราเข้าไปเป็นรัฐบาล ถ้าตนเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องกลับเข้ามาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง ก็เป็นบรรทัดฐานที่เราจะคาดหวังจากคนอื่นได้เช่นกัน
เมื่อถามว่า เล็งวันอภิปรายไม่ไว้วางใจวันไหน นายพิธากล่าวว่า บอกก็รู้หมดนะสิ มีข้อมูลตามเข้ามาเรื่อย ๆ จะเน้นเรื่องความประพฤตไม่ชอบ เรื่องคอร์รัปชั่น และความล้มเหลวการใช้งบประมารณแผ่นดิน โดยจะเตรียมรวบรวมข้อมูลไปเรื่อย ๆ และจะรอจังหวะดูอีกที่หมาะสม จะใช้บาซูก้าเลยหรือไม่ หมายถึงจะอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 แบบลงมติไม่ไว้วางใจ หรือตามมาตรา 152 เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหา
“การทำงานของเราไม่ได้ต้องการล้มรัฐบาลอย่างเดียว แต่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมาเป็นหลัก”นายพิธากล่าว
เมื่อถามว่าการกลับมาครั้งนี้จะเป็นการสร้างสีสันในสภาในการเป็นฝ่ายค้าน นายพิธากล่าวว่า คงเอาสาระเป็นหลัก สีสันเป็นรอง เพราะหมดเวลาการทำงานการเมืองแบบวาทะกรรมฉาบฉวย เน้นการทำงานลงลึก เรื่องสาระ ที่สำคัญ คือ จะทำเรื่องสาระให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปเข้าใจได้อย่างไร สาระต้องสำคัญกว่าวาทะกรรม
ทั้งนี้ นายพิธาได้สวมเนคไทสีฟ้าลายจุด เส้นเดียวกับวันที่นายพิธาชูกำปั้นในวันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่และเดินออกจากสภา โดยนายพิธาบอกว่า ออกไปแบบไหนก็กลับเข้ามาแบบนั้น คิดเสียว่า เป็นการเดินทางอ้อม แต่การเดินทางเราก็ทำต่อแม้จะต้องใช้เวลากว่า 6 เดือนก็ตาม