นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ หรือว่า “หมอชัย” เขาพลิกบทบาทจาก "นักจัดรายการทีวี" สู่ "พยานปากสำคัญ" คดีโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 54
"หมอชัย" 1 ใน “นักกีฬาไก่ชน” ที่มี "ก๊วนไก่ชน" เป็นทั้ง “นักร้องเพลงเพื่อชีวิตในตำนาน” นักเมืองบิ๊กเนมแห่งสุโขทัย และนักการเมืองภาคกลาง กินแดนไปถึงอีสานใต้ ต่างพรรค-รสนิยมเดียวกัน
"หมอชัย" ได้รับการชักชวนจาก "เพื่อนร่วมก๊วนไก่ชน" ให้เข้าสู่ถนนการเมืองในฐานะ "สมาชิกพรรคเพื่อไทย" ตั้งแต่ปี 65
"หมอชัย" เป็น 1 ในคณะกรรมการเศรษฐกิจการเกษตรพรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้งพฤษภาคม 66 เพียง 3 เดือน
ปัจจุบัน “หมอชัย” รับบทบาท "หลังไมค์" ในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
"หมอชัย" ยืนยันว่า ตำแหน่ง "โฆษกรัฐบาล" ไม่ได้ได้มาเพราะหนี้บุญคุณ “ต่างตอบแทน” ไม่ได้ “ถือตั๋วยิ่งลักษณ์” เข้าทำเนียบรัฐบาล
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “หมอชัย” ในวาระรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน บริหารราชการแผ่นดินมาครบ 6 เดือนเต็ม-ย่างเข้าเดือนที่ 7
“หมอชัย” นั่งอยู่ใน “ครม.เศรษฐา” ตั้งแต่วันแรกถึงปัจจุบัน เขาฉายภาพสไตล์การทำงานของ “นายกฯเศรษฐา” เป็นฉาก ๆ ว่า หนึ่ง ตรงไปตรงมา Hit the point ไม่อ้อมค้อม เป็นนักบริหารที่ตรงไปตรงมาที่สุด Fair ที่สุด
"นายกฯไม่ใช่คนประเภท sophisticated คำว่า sophisticated คือ... ท่านไม่กะล่อนเอาอย่างนี้ดีกว่า คิดอย่างไร สื่อสารตรง ๆ แบบสุภาพ แต่ไม่พูดขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว ไม่พูดล่อหลอก"
สอง ท่านมีพลังมหาศาล เรียกว่า ถ้าเป็นเครื่องยนต์ ก็ โอ้โห้ ซีซี ความจุสูงมาก พลังเหลือล้น สาม ท่านเป็นคนมองโลกแง่บวก Positive thinking มองอะไรมีความหวังเสมอ เริ่มต้นจากการมองเห็นโอกาส
"ท่านไม่เริ่มที่ปัญหา เวลาใครมาพูดปัญหา ท่านถามว่า โอกาสอยู่ตรงไหน น้อยมากที่ท่านจะถามว่า ปัญหาคืออะไร ท่านจะถามว่า โอกาสคืออะไร”
ถัดมาที่เด่นมากคือ ผมไม่เคยเห็นท่านนายกฯ Hate Speech กับใคร ด่าคนโน้น เหน็บแนมคนนี้ ว่าคนโน้น ว่าคนนี้ ไม่มี ขนาดโดนวิจารณ์ขนาดไหน เย้ยหยันขนาดไหน ท่านก็น้อมรับฟัง
“ผมคิดว่า เป็นจุดเด่นของท่านนายกฯ ในสังคมการเมืองที่เราผ่านความเจ็บปวดจากความขัดแย้งมา เราจำเป็นต้องมีผู้นำที่มีท่าทีที่เป็นมิตร ปรองดองสมานฉันท์ ประเทศไทยพัฒนาได้โดยไม่ต้องขัดแย้งวุ่นวายได้ภายใต้นายกรัฐมนตรีชื่อเศรษฐา”
“Senses ผมบอกเลยนะ นายกฯเศรษฐา ประชาชนเริ่มสัมผัสได้ถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงมากขึ้น ๆ เป็นสเปกที่ยุคนี้คนไทยต้องการ ไม่ต้องเก่งโวหาร ให้ทำงานเก่ง ๆ”
ที่ผ่านมาภาพของ “เศรษฐา” ที่แสดงออกในที่แจ้งพูดจาตรงไปตรงมากับข้าราชการระดับสูงด้วยท่าทีแข็งกร้าว เช่น กรณีการปราบปราม "หมูเถื่อน" ล่าช้า-ไม่ได้ดั่งใจ “หมอชัย” บอกว่า ในจุดเด่นมีจุดด้อย
“ในจุดเด่นก็อาจจะเป็นจุดด้อยสำหรับคนบางคน เช่น ท่านพูดตรงมาก ถ้าคนไม่เข้าใจก็อาจจะน้อยใจ อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจ บางคนอยากเก็บเป็นความลับอยู่ ท่านไปพูดเร็วไปหน่อย บางคนอาจจะไม่ชอบ ท่านทำงานหนักมาก บางทีทีมงานความอึดไม่พอ เดินไล่ไม่ทัน อาจจะทำให้การเดินงาน ท่านเดินไปเร็วแล้ว คนตามตามไม่ทันก็มี”
ด้วยการที่ “เศรษฐา” มี “หมออ้อม” พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน” ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย เป็น “คู่ชีวิต” จึงจัดตำหรับยาและการรักษาความฟิตหลังจากกรำงานหนัก เช่น การให้อ็อกซิเจนเข้าไปในเลือด
“ผมเป็นห่วงเรื่องสุขภาพท่านนะ ท่านโหมหนักเหลือเกิน หวังว่า สูตรที่ที่ท่านดูแลตัวเองอยู่จะช่วยประคับประคองให้ท่านยังแข็งแรงไปตลอดเทอม เพราะว่าท่านโหลดเยอะ ทำงานหนัก ไม่ได้พักเลย ถ้าจะพูดว่าจุดอ่อนคืออะไร ผมเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ”
สำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า รัฐบาลขยัน ทำงานหนัก-ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่งานไม่ออก-รัฐบาลไม่มีผลงาน โดยเฉพาะนโยบาย "เรือธง" ทั้งเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เมกะโปรเจ็กต์อย่างแลนด์บริดจ์ และนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ยังไม่มีความคืบหน้าเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ “หมอชัย” เห็นต่าง
ผมอาจจะเห็นต่าง ความรู้สึกที่ว่า หมายถึงใคร ประชาชนทั้งประเทศส่วนใหญ่หรือไม่ แน่นอนคนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เห็นผลงานก็มี
“ผมเชื่อว่า ถ้าไปสำรวจจริงๆ ถามอย่างรอบด้าน ผมมั่นใจว่า คนส่วนใหญ่จะต้องพูดว่า หนึ่ง ดีกว่าเดิมเยอะ เห็นชัดเลยว่าดีกว่าเดิม แต่ สอง เขาอาจจะบอกว่า ยังดีไม่สุดอย่างที่ควรจะเป็น แต่ไม่เห็นผลงานเลย ผมว่าจะเป็นการพูดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงนัก”
“ผลงานรัฐบาล ผมเชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ยอมรับว่าดีขึ้น แต่ผมก็ยอมรับด้วยว่า มีคนที่รู้สึกว่า รัฐบาลไม่มีผลงาน ผมน้อมรับฟัง แต่ผมไม่เชื่อว่า นั่นคือเสียงส่วนใหญ่ของพี่น้องประชาชน”
นับตั้งแต่ “เศรษฐา” ประกาศตัวเป็น “เซลส์แมน” ตลอดระยะเวลา 6 เดือน ได้เดินทางไปพบปะผู้นำประเทศมหาอำนาจ-นักลงระดับบิ๊กคอร์ปทั่วโลก 14 ประเทศ 1 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา กัมพูชา จีน บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ซาอุดีอาระเบีย สปป.ลาว ญี่ปุ่น สวิส ศรีลังกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เพื่อดึงดูดการลงทุน ทว่าคำถามในใจ คือ “คนไทยได้อะไร”
“หมอชัย” ที่ติดตามภารกิจเดินสายไปต่างประเทศของนายเศรษฐาตอบเสียงดังฟังชัดว่า “ได้ประโยชน์แน่นอน และมัน Coming soon”
“ได้ประโยชน์ก็คือ เม็ดเงินลงทุนที่จะไหลเข้ามาในประเทศไทย การเซ็นสัญญาทวิภาคีจะเกิดมากขึ้น ๆ เราเริ่มต้นด้วยฉบับแรก ไทย-ศรีลังกา ต่อไปอียู เราเล็ง ตั้งเป้าแล้วว่า ภายในปี 68”
ที่ได้แน่ ๆ คือ การค้ากับมาเลเซียเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวมาเลเซียไหลเข้ามาก้าวกระโดด คาซัคสถาน เราขยายวีซ่าให้ยาวขึ้น ปริมาณนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเข้ามาเพิ่มมากขึ้น แถมใช้เงินมากขึ้นด้วย
“เรื่องเหล่านี้เป็นผลจากท่านนายกฯเดินสาย และจะตามมาอีกเยอะ Coming soon แน่นอน”
ส่วนการที่ “เศรษฐา” โดนด้อยค่าว่าเป็น “เซลส์แมน” เขามองบวก ว่า ทุกคนที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศ คือ เซลส์แมน ที่ต้องขายความน่าเชื่อถือ ขายความหวัง เซลส์แมนคือคนที่หารายได้เข้าประเทศ
“ความจริงเซลส์แมนคือทุกคน President ก็ต้องเป็นเซลส์แมนที่ดี อย่างโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องขายความน่าเชื่อมถือของประเทศ ต้องขายความหวัง เซลส์แมนคือคนไปหารายได้เข้าบริษัท บริษัทจะอยู่ได้ เพราะเซลส์แมนขายของเก่ง ๆ”
ในฐานะที่สวมหมวก “โฆษกรัฐบาล” สร้างภาพลักษณ์ – ล้างภาพลบให้กับรัฐบาลเศรษฐา หลังทำหน้าที่หลังไมค์ในตึกนารีสโมสรมาได้เท่าอายุงาน 6 เดือนของรัฐบาล รับทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ จากบททดสอบการสื่อสารในที่สาธารณะ
ทั้งการใช้คำสื่อความหมายว่า “รัฎฐาธิปัตย์” การต้องอธิบายเพิ่มเติมจาก “ข้อสั่งการนายกฯ” ทั้งการแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการออกเป็น 2 งวด การเปลี่ยนคำเรียกจาก “นายสถานี” เป็น “นางสถานี”
“หมอชัย” ขยายความคำว่า “สื่อสารเชิงรุก” เพื่อปรับการทำงานของ “ทีมโฆษกรัฐบาล” ให้ “ทำงานเชิงรุก” มากขึ้น ว่า เวลารัฐบาลบอกว่า ลดค่าไฟฟ้ามาเหลือหน่วยละ 3.99 บาท และตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตร ส่วนใหญ่โฆษกรัฐบาลในอดีตจะอธิบายแค่ในมติครม.
“เชิงรุกตามแบบฉบับของผม ต้องไปดูว่า ลดค่าไฟฟ้าจากหน่วยละ 4 บาทกว่า เหลือ 3.99 บาท ลดลงมา 46 สตางค์ 1 วัน ประชาชนใช้ไฟฟ้ากี่ยูนิต คูณออกมาแล้วประหยัดเงินให้ประชาชนไปกี่ล้านต่อวัน ต่อปีประหยัด เซฟเงินในกระเป๋าประชาชนได้เท่าไหร่ น้ำมันดีเซลใช้วันหนึ่งเท่าไหร่ ราคาที่ลดช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายประชาชนเท่าไหร่”
นอกจากรับรู้ว่ามติครม.เป็นอย่างไรแล้ว ต้องค้นให้ลึก ศึกษาให้ลึกกว่านั้นว่า นโยบายหรือมติที่ออกมานั้น แปลความหมายในเชิงที่เป็นรูปธรรม ประชาชนจะได้อะไรบ้าง
“ในเชิงรุกของผม ใช้ข้อเท็จจริง ใช้ข้อมูล พูดบนฐานข้อมูลมากกว่าการใช้โวหาร เชิงรุกในแบบฉบับของผม ไม่ใช่เชิงรุกการเอาโวหารมาคะคานกัน เหน็บแนมกันว่าใครปากจัดกว่า ใครโวหารดีกว่า ถือว่ารุกได้ดีกว่า ในแบบฉบับของผมไม่ใช่แบบนั้น”
ว่ากันว่าตำแหน่ง “โฆษกรัฐบาล” คือ บันไดทางการเมืองที่จะไต่ไปสู่ “เก้าอี้รัฐมนตรี” ในวันข้างหน้าอันใกล้ เขามี passion แบบนั้นหรือไม่ “หมอชัย” ตอบแบบไม่อ้อมค้อม
เออ...(คิดนาน) ถ้าตอบว่า ไม่ใช่ ก็จะเป็นการโกหกเลย ผมคิดว่า ทุกคนที่เล่นการเมืองก็อยากที่จะมีโอกาสได้ไปอยู่ในจุดที่ได้แสดงบทบาท ได้แสดงฝีมือ ได้ใช้ฝีมือให้มันเกิดผลมากขึ้น มากที่สุด การไปเป็นรัฐมนตรีก็จะได้เล่นบทบาทนั้น
ทุกคน ไม่เฉพาะตำแหน่งโฆษกรัฐบาล ทุกคนที่ก้าวสู่ถนนการเมือง ล้วนแล้วแต่ น่าจะคิดถึงว่า ตัวเองก็มีฝีมือ ตัวเองมีความสามารถ อยากจะได้พิสูจน์ฝีมือตัวเอง ด้วยการไปทำงานในตำแหน่งที่ท้าทาย
“ผมว่าแทบทุกคน ไม่ใช่เฉพาะโฆษกรัฐบาล น่าจะคิดอย่างนั้น ใครไม่ตอบอย่างนั้น ผมไม่เชื่อ เราพูดความจริงกันดีกว่า แต่จะเป็นได้หรือไม่ ไม่ใช่เราเป็นคนกำหนด”
จาก “พิธีกรเบื้องหน้า” รายการ “คุยจริงใจ สไตล์หมอชัย” สู่ “โฆษกหลังไมค์” หมอชัย เล่าเบื้องหลัง-ที่มาที่ไปตำแหน่งโฆษกรัฐบาลให้ฟังว่า
ผมมีความคุ้นเคยกับแวดวงการเมืองมานาน มีพรรคพวกเป็นนักการเมืองหลายคน ขณะเดียวกันผมมีงานอดิเรก ทำกิจกรรมส่วนตัวร่วมกับบุคคลบางคน บางกลุ่มซึ่งมีคอนเน็กชั่นกับนักการเมือง
“หนุ่ม ๆ ผมชอบกีฬาไก่ชน คนที่เล่นไก่ชน เจอกันเรื่อย ๆ เมื่อก่อน แอ๊ด-คาราบาว (ยืนยง โอภากุล นักร้องเพลงเพื่อชีวิต วงคาราบาว) สมศักดิ์ เทพสุทิน (นักการเมืองในจังหวัดสุโขทัย) ชูชัย มุ่งเจริญพร สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ปกรณ์ มุ่งเจริญพร สส.สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทย มณเฑียร สงฆ์ประชา สส.ชัยนาท พรรคภูมิใจไทย ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เยอะ สส.ที่ชอบกีฬาชนไก่ และผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส ผมไม่อยากจะเอ่ยนาม”
คอนเน็กชั่นพวกนี้ ทำให้ผมมีโอกาสแลกเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองในเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ และในที่สุดนำไปสู่ข้อเสนอให้ผมไปจัดรายการ เนื่องจากคอนเน็กชั่นนี้ คนที่รู้จักผม โดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ก็บอกว่า หมอชัย วิธีคิด มุมมองของผม ในเชิงเศรษฐกิจการเมือง โดยเฉพาะเศรษฐกิจการเกษตร น่าสนใจมากนะ อยากให้ผมไปจัดรายการเพื่อเผยแพร่ความคิดของผมออกไป
"หมอชัย" จัดรายการทีวีอยู่ 5 ปี ตั้งแต่ 2555-2560 พูดเรื่องเศรษฐกิจการเกษตร เศรษฐกิจการเมือง
"ในช่วง 5 ปีที่จัดรายการ เทปออกรายการทั้งหมด 260 ตอน ผมพูดเรื่องจำนำข้าวอย่างเดียว 20 กว่าตอน ผมพูดด้วยความเชื่อของผมจากข้อมูลที่ผมมี ว่า การจำนำข้าวในยุคสมัยรัฐบาลท่านยิ่งลักษณ์ เป็นการแทรกแซงตลาดข้าวดีที่สุดในประวัติศาสตร์"
ผมพูดโดยที่ผมยังไม่รู้จักใครในรัฐบาล ปรากฏว่า คนในครม.หลายคนดูรายการที่ผมจัด และสังเกตเห็นว่า ผมมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องข้าวเรื่องเศรษฐกิจการเกษตรอย่างดี สิ่งที่ผมรู้ ผมเข้าใจ ผมเชื่อ ผมสามารถถ่ายทอดเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย สื่อสารสาธารณะได้ดี เป็นต้นทางนำผมมาสู่การเมือง
จากการที่ผมจัดรายการและพูดถึงเรื่องจำนำข้าวเยอะ พอเกิดคดีจำนำข้าวขึ้น ในฐานะที่ผมได้แสดงความเห็น ข้อมูลในรายการ มากกว่า 20 ตอน นำไปสู่การเชิญให้ผมไปเป็น 1 ในพยานคดีจำนำข้าว
“ขอเน้นนะครับ ผมเป็นหนึ่งในหลายสิบคนของพยานปากฝ่ายจำเลย”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา "หมอชัย" เริ่มสนใจการเมือง และมีความพร้อมจึงเริ่มไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยตั้งเดือนมิถุนายนปี 65 และได้รับมอบหมายให้เข้าไปทำงานในทีมเกษตร ทีมคิดนโยบายเกษตรของพรรคเพื่อไทย
ได้เข้าไปร่วมกิจกรรม ได้เข้าไปแลกเปลี่ยนพูดคุยหลายครั้ง กว่าจะเดือนกันยายนปี 66 ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกรัฐบาล ผมได้ไปมีปฏิสัมพันธ์ ได้ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แสดงทัศนะ
ผู้หลักผู้ใหญ่-คีย์แมนในพรรคเพื่อไทยเห็นว่า ความสามารถและความถนัดในการสื่อสาร ผมได้รับการแต่งตั้งเป็น 1 ใน 14 ของคณะกรรมการเศรษฐกิจของพรรคก่อนจะถึงวันเลือกตั้งอีกด้วย
“ในที่สุด คนที่ติดต่อผมมาก็คือ คุณหมอพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช”หมอชัยเฉลยคนที่ชักชวนเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจ-ทำเนียบรัฐบาลตัวจริงก็คือ “นายกน้อย” บนตึกไทยคู่ฟ้า
หน้าตา “ครม.เศรษฐา 1” นักสังเกตการณ์ทางการเมืองวิเคราะห์ตรงกันว่า นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยที่มีตำแหน่งแห่งในครม. ถือตั๋วอยู่ 3 ใบ
ใบแรก ตั๋วชั้น14 ใบที่สอง ตั๋วบ้านจันทร์ส่องหล้า และตั๋วใบที่สาม “ตั๋วยิ่งลักษณ์” หมอชัย ปฏิเสธทันควัน ว่าเป็น “ตำแหน่งต่างตอบแทน”
“ผมว่าเรียกอย่างนั้นไม่ได้เลย เพราะคนเป็นพยานคดีจำนำข้าวมีหลายสิบคน จำนวนมากไม่มีตำแหน่ง ถ้าเป็นตำแหน่งต่างตอบแทนก็คงจะได้ตอบแทนกันทุกคน”
สองผมต้องเข้าไปทำกิจกรรมในพรรคเพื่อไทยอยู่ปีกว่า ถ้าผมไม่ได้เข้าไปในพรรคตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 65 แล้วจู่ ๆ ผมโผล่ขึ้นมาแล้วได้มามีตำแหน่งทางการเมืองเลย อย่างนั้นน่าจะพูดได้ว่า ไม่เห็นมาทำอะไรในพรรคเลยจู่ ๆ ขึ้นมาได้ตำแหน่ง แต่ผมต้องไป exercise อยู่ 1 ปีกว่า ไปทำกิจกรรม ไปพูดคุย ไปแลกเปลี่ยนทัศนะ เขาก็คงเห็นพฤติกรรมผม เห็นบทบาทผมในพรรค
“ไม่ (ได้ถือตั๋วยิ่งลักษณ์เข้าทำเนียบ) เลยครับ ผมคิดว่า ไม่น่าจะเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน ส่วนตัวผมไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น เพราะว่า ไม่ง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่า โอ้ ผมไปเป็นพยาน ถ้าอย่างนั้นผมก็คงไม่ต้องเข้าไปพรรค รอจนกระทั่งเลือกตั้งเสร็จแล้วเขาค่อยเชิญผมก็ได้”
“หมอชัย” ไม่ประเมินผลงานบทบาทหลังไมค์ 6 เดือนที่ผ่านมาพอใจมากน้อยแค่ไหน-ให้ประชาชนประเมิน
ผมเคยพูดตั้งแต่วันแรกแล้วว่า งานโฆษก คือ งานสื่อสาร สื่อสารระหว่างรัฐบาลกับพี่น้องประชาชน การสื่อสารที่ดีจะทำให้งานของรัฐบาลออกมาดีขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น 30-40 %
“ผมไม่อยากประเมิน เอาว่า so far สำหรับผมยังสนุกกับการทำงานนี้อยู่ รู้สึกสนุก และรู้สึกว่า งานที่เราทำก็มีคุณค่า”หมอชัยทิ้งท้ายก่อนจากลาสถานที่สัมภาษณ์ ณ ตึกนารีสโมสร-โรงละครการเมืองในฝันของนักการเมืองอีกหลายคน