KEY
POINTS
การออกมาแฉของสื่อต่างประเทศถึงความเคลื่อนไหวของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี-นักโทษที่อยู่ระหว่างพักโทษ-คุมประพฤติ ขอเสนอตัวเป็น mediator หรือ "คนกลาง" ในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลก็เมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ กลายเป็นบูมเมอแรง-กระแสตีกลับ
"เสธ.แมว" พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการ "ออกตัวแรง" ของทักษิณบนเวทีสันติภาพ ระหว่าง "รัฐบาลเนปิดอ" กับชนกลุ่มชาติพันธุ์ครั้งนี้ ใครต้องรับผิดชอบ
ต้องรับผิดชอบทั้งหมด แต่เนื่องจากนายทักษิณไปพูดคุยกับกลุ่มชาติพันธุ์แบบไม่เป็นทางการ ดังนั้น คนที่ต้องรับผิดชอบคนแรกก็คือ กระทรวงยุติธรรม เพราะนายทักษิณเป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษ ต้องปฏิบัติตามระเบียบของการพักโทษ
“การไปแบบไม่เป็นทางการ สังคมตั้งข้อสงสัยว่า คุณทักษิณออกไปดำเนินการแบบนี้ มีการขออนุญาต หรือรายงานกรมคุมประพฤติหรือไม่ แต่ถ้าเป็นทางการ คนที่ต้องรับผิดชอบต้องไปทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติและกระทรวงต่างประเทศ ต้องรับผิดชอบหมด”
การที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ออกรับหรือปฏิเสธ การพบกันของนายทักษิณกับกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่ออาสาเป็นตัวกลางเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลเมียนมา จากการรายงานของสื่อต่างประเทศจึงตั้งข้อสังเกตได้ว่าเป็นการเจรแบบไม่เป็นทางการ
อดีตหัวหน้าพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้ ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์-นายกรัฐมนตรีน้องสาวนายทักษิณ เทียบเคียงการเดินเกม-เดิมหมากของนายทักษิณในช่วงการเจรจา “ดับไฟใต้”
ก่อนที่จะมีการเจรจาสันติภาพชายแดนใต้ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างเป็นทางการ มี 3 รูปแบบ
“รูปแบบ ไม่เป็นทางการ เหมือนที่คุณทักษิณดำเนินการเรื่องพูดคุยสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นอยู่นอกประเทศ ได้ไปคุยกับท่านนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียขณะนั้น โดยมาเลเซียเห็นด้วยที่จะช่วยแก้ปัญหาและยินดีที่จะเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ให้”พล.ท.ภราดรเล่าเบื้องหลังเก้าอี้หัวโต๊ะเจรจาดับไฟใต้อย่างเป็นทางการ
การเคลื่อนไหวของนายทักษิณ "แตกต่าง" จากกรณีเจรจาสันติภาพชายแดนใต้กับการเสนอตัวเป็น "คนกลาง" ท่ามกลางเขม่าและควันปืนในสมรภูมิสู้รบระหว่างทหารรัฐบาลเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพราะ “องค์ประกอบ” คนที่มีส่วนได้-ส่วนเสียแตกต่างกัน
กรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชัดเจนตรงที่มีมาเลเซียเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” และเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นในประเทศไทย ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียมีเพียงไทยกับผู้เห็นต่างและมาเลเซีย
“แต่สถานการณ์ในเมียนมา พื้นที่ปฏิบัติการเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าคุณทักษิณจะมีบทบาท เป็นได้เพียงผู้อำนวยความสะดวก แต่คุณทักษิณลึกไปมากกว่าผู้อำนวยความสะดวกจะไปเป็น mediator คนกลางเลย ซึ่งเข้มข้นกว่าผู้อำนวยความสะดวก
ผู้อำนวยความสะดวก เพียงแต่เป็นผู้ให้มาพบกัน จัดน้ำชา กาแฟ ให้พบ สถานที่ อำนวยความปลอดภัย แต่ถ้าเป็นคนกลางเมื่อไหร่ มีสภาพบังคับวิถีการพูดคุยได้ด้วย”
“ถ้าการพูดคุยไม่ลงตัว คนกลางสามารถชี้ทิศทางได้ เพราะคนกลางจะต้องถูกยอมรับจากคู่กรณีทั้งหมดให้เป็นคนกลาง คุณทักษิณถึงต้องการให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เซ็นรับรองให้เป็นคนกลาง และต่อมาก็จะให้รัฐบาลเมียนมาให้เป็นตัวกลาง”
เมื่อผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียมีจำนวนมาก และผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ทั้งที่มีและไม่มีชายแดนติดกับเมียนมาทั้งทางภูมิศาสตร์ทางกายภาพและทางเกมอำนาจ จึงไม่ง่ายที่นายทักษิณจะเกิดความลงตัวให้เป็น “คนกลาง”
การที่ทักษิณวางบทบาทเป็นมากกว่า “ผู้อำนวยความสะดวก” นอกจากเป็นไฟต์บังคับ เพราะ สปป.ลาวมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ในฐานะ “ทูตพิเศษ” อยู่แล้ว แต่อะไรที่ทำให้ทักษิณมั่นใจว่ามีพาวเวอร์มากพอที่จะเป็น “คนกลาง”
“เป็นคาเร็กเตอร์ของคุณทักษิณ เป็นคาเร็กเตอร์ของคนที่มีความเชื่อมั่นว่า ตัวเองมีบารมี เพราะในอดีตคุณทักษิณมีความสัมพันธ์กับผู้นำตานฉ่วย หม่องเอ แม้กระทั่งมินอ่องหล่าย จึงเชื่อมั่นในบารมีเดิม”
เมื่อผู้มีอำนาจในทำเนียบ-รัฐบาลไทย ทั้งนายกรัฐมนตรีเองและกระทรวงต่างประเทศออกอาการถีบ-ถอย โยนเผือกร้อน ว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของนายทักษิณ รัฐบาลกรุงเทพฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง บทบาทการเป็น "หัวหอก" ของอาเซียนในการช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมาก็ยังถือว่าเสมอตัว
“ถ้ารัฐบาลรับว่าคุณทักษิณไปแบบกึ่งทางการ เจ๊งเลยนะ เพราะตอนนี้รัฐบาลเมียนมาร์และกลุ่มชาติพันธุ์ไม่เอา แต่ไทยยังมีความชอบธรรมในประชาคมอาเซียนที่จะอาสาขึ้นมาเป็นผู้อำนวยความสะดวก แต่ต้องไม่ยกระดับเป็นคนกลาง”อดีตเลขาสมช.- อดีตหัวหน้าพูดคุยดับไฟใต้ทิ้งท้าย