ย้อนคดี น้องชายธนาธร ถูกศาลอาญาฯสั่งจำคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญา

20 พ.ค. 2567 | 07:06 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ค. 2567 | 07:11 น.

ย้อนปมร้อนคดี “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” น้องชาย "ธนาธร" ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง สั่งจำคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญา กรณีติดสินบน 20 ล้าน เช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้ตัดสิน นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด น้องชายของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ตัดสินจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ในคดีติดสินบนเงินจำนวน 20 ล้านบาท ให้กับเจ้าหน้าที่และนายหน้าในการเช่าที่ดิน จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รวม 2 แปลง ในซอยร่วมฤดี และ ย่านชิดลม

 

 

ย้อนรอยคดี “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” 

จุดเริ่มต้นคดีติดสินบนเช่าที่ดิน 20 ล้านบาท เป็นเพราะ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ได้มีคำพิพากษา จำคุก นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และ นายสุรกิจ ตั้งวิทูวณิช พนักงาน บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง  กรณี ที่เรียกรับสินบน จำนวน 20 ล้านบาท เพื่อต้องการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สิน พระมหากษัตริย์ ย่านชิดลม จากการตรวจสอบพยานหลักฐานพบว่า นายสกุลธร มีพฤติกรรมการกระทำผิดจริง จากการ สั่งจ่ายเช็คเงินสดให้กับเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ราย

ทั้งนี้ ในคำวินิจฉัยของศาล ชี้ถึงพฤติกรรมของจำเลยว่า ระหว่างกลางเดือนมีนาคม 2560 ถึงวันที่ 18 กันยายน 2560 นายประสิทธิ์ (จำเลยที่ 1) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ ระดับ บ.4 แผนโครงการธุรกิจ 1 กองโครงการธุรกิจ 1 ฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) ทำหน้าที่สนับสนุนงานหลักของฝ่ายโครงการพิเศษ และ นายประสิทธิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำพื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) ไปจัดประโยชน์แต่อย่างใด และ นายสุรกิจ (จำเลยที่ 2) ซึ่งมิใช่เจ้าพนักงาน ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน

โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันนำข้อมูลของ สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) ไปแจ้งต่อ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่า ที่ดินดังกล่าวกำลังจะหมดสัญญาเช่าและจะเปิดให้ผู้สนใจมาลงทุนพัฒนาที่ดิน โดยจะมีการทำสัญญาเช่ากับ สนง.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ระยะยาว นายสกุลธร จึงเชื่อว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวให้เช่าจริง จึงให้นายสุรกิจ จำเลยที่ 2 ดำเนินการติดต่อประสานงานและอำนวยความสะดวกให้บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้สิทธิการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว โดยมีค่าตอบแทน 500 ล้านบาท 

คำพิพากษายังระบุว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำ โดย นายประสิทธิ์ จำเลยที่ 1 แนะนำให้ นายสกุลธร ยื่นหนังสือแสดงความจำนงขอเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวต่อ สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตามช่องทางปกติ นายประสิทธิ์ และ นายสุรกิจ ได้ร่วมกันเรียกรับเงินงวดแรก จำนวน 5 ล้านบาท จากนายสกุลธร และร่วมกันใช้เอกสารราชการที่ทั้งสองทำปลอมขึ้น 2 ฉบับ อ้างต่อ นายสกุลธร ที่หลงเชื่อว่า เป็นเอกสารจริง

เมื่อ นายสกุลธร ได้หนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวจึงจ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5 ล้านบาท และงวดที่ 3 อีก 10 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาทให้กับจำเลยทั้งสองเพื่อเป็นการตอบแทนที่ไปร่วมกันดำเนินการประสานงานให้ และนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้ “รองผู้อำนวยการ สนง.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ที่เป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ เพื่อจูงใจ “รองผอ.สนง.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ให้จัดสรรที่ดินแปลงดังกล่าวให้ บริษัท เรียลแอสเสทฯ ได้สิทธิการเช่าที่ระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ

ต่อมานายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (3 ธันวาคม 2563)  เปิดเผยข้อมูลการปลอมแปลงเอกสารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) ของเจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคคลภายนอก พร้อมมีการตั้งข้อสังเกตุเกี่ยวกับการจ่ายเงินของบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่มีนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชาย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อให้ได้สิทธิเช่าพัฒนาที่ดิน บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) จนเกิดกระแสวิพากวิจารณ์จากสังคมเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

จากนั้นกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ได้แจ้งข้อหานายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต่อมา พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้น สุดท้าย พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนพร้อมความเห็นสั่งฟ้อง นายสกุลธร ใน 2 ข้อหา ให้พนักงานอัยการพิจารณาเพื่อทำความเห็นในขั้นสุดท้าย

คดีนี้ศาลอาญาฯ รวบรวมสำนวนพร้อความเห็นสั่งฟ้องใช้เวลามากกว่า 4 ปี จนในที่สุดวันนี้ 20 พฤษภาคม 2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ออกนั่งบัลลังก์พิพากษา ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 ประกอบมาตรา 84 พรป.ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 123/5 ประกอบประมวลกฎหมายยามาตรา84 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน 

โดยให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 ประกอบ84 เพียงบทเดียว จำคุก8 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์เเก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ใหลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา78 หนึ่งในสี่คงจำคุก 6 เดือ