“บิ๊กแป๊ะ” ดับเครื่องชน ขบวนการกลั่นแกล้ง คดีรถไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ

20 พ.ค. 2567 | 10:30 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ค. 2567 | 10:48 น.

“บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ดับเครื่องชน แฉขบวนการ ป.ป.ช. ร่วมมืออดีต รอง ผบ.ตร. กลั่นแกล้งไม่ให้รับความเป็นธรรมคดีโครงการรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ SMART PATROL CAR : SPC เรียกร้องเปลี่ยนอนุกรรมการยกชุด

วันนี้ (20 พ.ค.67) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (อดีต ผบ.ตร.) เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)พร้อมขอทราบความคืบหน้ากรณีที่ได้ยื่นพยานเอกสารเพิ่มเติมให้มีการสอบเพิ่ม 

ในคดีที่ ป.ป.ช.มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหา พล.ต.อ.จักรทิพย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวก 46 ราย กรณีกล่าวหาการดำเนินงานโครงการรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ (SMART PATROL CAR : SPC) จำนวน 260 คัน วงเงินงบประมาณ 900 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2560- 2561 

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า วันนี้มาติดตามขอความเป็นธรรมสอบถามความคิดเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช.บางท่าน และยื่นหนังสือเป็นครั้งที่ 2  โดยหนังสือที่ยื่นวันนี้มีพยานสำคัญ 5 ปาก มีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุที่ตนเชื่อว่าสำคัญในคดีของตน 

                                     “บิ๊กแป๊ะ” ดับเครื่องชน ขบวนการกลั่นแกล้ง คดีรถไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ

สืบเนื่องมาจากการที่คณะของ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.สพฐ.ตร.) ขณะนั้น เป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (PCT4) ได้ทำการตรวจค้นบ้านตำรวจนอกราชการนายหนึ่ง 

และพบเอกสารในคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในบ้านนั้น ระบุเกี่ยวกับคำร้องในคดีของตนที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้มีการทำเป็นขบวนการผู้ร่วมขบวนการมี 3 ท่าน ตำรวจนอกราชการ 1 ท่าน ตำรวจชั้นผู้ใหญ่   และ มีพันตำรวจโท 1 ท่าน ที่ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน  และ มีทนายความที่มีชื่อเสียง ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนกลั่นแกล้งให้ตนได้รับโทษ ไม่ได้ทำด้วยเจตนาโปร่งใส

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ในช่วงแรกเชื่อว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ไต่สวนด้วยความเป็นธรรม เป็นกลาง ยุติธรรม ไม่อคติ ทำให้ตนเองปล่อยให้เรื่องดำเนินการไปตามปกติ 

แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนรับทราบข้อกล่าวหา ตนเกิดความข้องใจว่าทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ ทำไมให้ตนมารับทราบข้อกล่าวหา สุดท้ายจึงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม 

ทั้งนี้ยืนยันว่า โครงการรถไฟฟ้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นประเด็น ไม่ได้เป็นการยัดเยียดรถให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง    แต่เป็นการมอบหมายนโยบาย สิ่งไหนดีก็มอบหมายให้ไปทำต่อ พร้อมถามกลับว่าตนไม่มีสิทธิ์เพิ่มประสิทธิภาพในหน่วยงานเลยหรือ ทั้งที่นโยบายนี้เป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ระบุให้รณรงค์การใช้พลังไฟฟ้าไม่ต้องพึ่งพาพลังงานน้ำมัน

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยืนยันว่า โครงการรถไฟฟ้าสั่งด้วยศักยภาพบริสุทธิ์ และขอให้ผู้ที่ตั้งเรื่องสอบตนเองกลับไปอ่านมติคณะรัฐมนตรีให้ดีว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่ และตนยอมรับว่าไม่แน่ใจว่ามติ ครม.จะถึงมือ ป.ป.ช.หรือไม่ 

เพราะที่ผ่านมามีเอกสารหลักฐานหลายชิ้นที่เป็นประโยชน์ต่อตนไม่ได้ถึงมือ ป.ป.ช. ซึ่งหลังรับทราบข้อกล่าวหาคดีนี้ ไม่สบายใจและไม่ไว้ใจคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ถ้าเป็นไปได้อยากให้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ เพราะ 1 ใน 3 หรือ 2 ใน 3 มีที่มาที่ไปชัดเจนอยู่แล้วว่า อยู่ฝั่งฝ่ายใด 

                         “บิ๊กแป๊ะ” ดับเครื่องชน ขบวนการกลั่นแกล้ง คดีรถไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่า ในขบวนการดังกล่าวประกอบด้วยตัวย่อ  “3 ส. 1 พ.”   ส. ตัวแรกเกษียณราชการไปแล้ว อีก 1 ส. เป็นประธานอนุกรรมการเคยลงสมัคร ป.ป.ช.  และ  ส. ที่ 3 คือ นายตำรวจระดับสูง  ส่วน  พ. 1 ราย คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงถึงกลาง

เมื่อถามต่อว่าการออกมาพูดในครั้งนี้ ไม่กลัวถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทหรือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ระหว่างถูกฟ้องหมิ่นประมาทกับที่จะต้องถูกติดคุกติดตะราง ขอเลือกโดนฟ้องหมิ่นฯ สถานที่ ป.ป.ช.แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บาปกรรมต้องลงโทษผู้ทำไม่ดี
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าถูกกลั่นแกล้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ก็ต้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.เอาพยานของตนไปสอบเพื่อจะได้รู้ว่าตนถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายหรือไม่ 

จากนั้นได้เปิดภาพพร้อมข้อความระบุว่า “วันนี้พี่โจ๊กชวนมาทานข้าวที่บ้านวิภาวดีรังสิต คุยเพลินลืมเวลาจะทันเคอร์ฟิวไหม” พร้อมเปิดภาพการท่องเที่ยวต่างๆ ของบุคคลที่เชื่อว่าอยู่ในขบวนการ และระบุว่าถ้าแผนประทุษกรรมเป็นลักษณะนี้ ในขณะที่ตนเป็นตำรวจจะออกหมายจับทุกคน

ทั้งนี้หลังเกิดเรื่องฟ้องเอาผิดตนมีมือปืน (ทนายความชื่อดัง)  มาขอโทษตนพร้อมกับพวงมาลัย และกล่าวว่า ผมไม่น่าทำพี่เลย

“ผมเคยเป็น ผบ.ตร.ไม่ใช่คนกะล่อนปลิ้นป้อน เด็กเลี้ยงแกะ เจ้าของโรงน้ำแข็ง วันนี้ผมทนดูการสอบสวนไม่ได้แล้ว ผมเคยมีคดีที่ ป.ป.ช.อยู่ 2 คดี คดีเรื่องทนายสมชาย นีละไพจิต  สมัยเป็นผู้บังคับการกองปราบปราม เรื่องที่ 2 คือเรื่องนี้ ในชีวิตที่รับราชการมา เคยมีแค่ 2 เรื่องที่ถูกป.ป.ช.สอบ”

                             “บิ๊กแป๊ะ” ดับเครื่องชน ขบวนการกลั่นแกล้ง คดีรถไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ

เมื่อถามว่าตำรวจนอกราชการคนนี้เก่งไหม ต้องบอกเลยว่าเก่ง   ตนเองเลี้ยงมาเหมือนน้อง เงินเดือนก็หาให้ ตนไม่ได้ทวงบุญคุณ วันนี้ตนต้องขอโทษน้องๆ ที่รับราชการอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้เขาเจริญเติบโตก้าวหน้าในราชการ เสียใจกับสิ่งที่ทำมา  

“ผมโดนร้องเรียน  ป.ป.ช. จะเอาผมถึงตาย ตำรวจคนนี้ๆ ได้ไปประกาศในวงของเขาว่า ไม่มีคำว่าพี่น้องแล้ว กูจะเอาไอ้แป๊ะติดคุกให้ได้”

หลังจากนี้ต่อไป ตนจะมาชี้แจงที่ ป.ป.ช.ด้วยตนเองทุกครั้ง  เพราะการชี้แจงด้วยลายลักษณ์อักษร เชื่อว่า 99% คณะกรรมการไม่ได้อ่าน

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ขอให้อนุกรรมการ 5 ท่านเอาเรื่องของตน กลับมาทบทวนให้ความเป็นธรรม แล้วตั้งใครก็ได้ให้เป็นประธานไต่สวนใหม่ แต่ไม่เอา ส. ที่ 2 ที่มีความสัมพันธ์กับอดีตนายตำรวจ และมีการตกแต่งบัญชี ส่วน พ. ตนก็ไม่เอา ขอคนใหม่เลย

อย่างไรก็ตาม เสียงของตนเองเป็นเสียงเล็กๆ ซึ่งถ้าหลังจากนี้ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวก็พร้อมที่จะมาที่  ป.ป.ช.เป็นครั้งที่ 3