วันนี้ (9 ม.ค. 68) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายณรงค์เดช ชัยเนตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการศาสนาชำนาญการ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ พิเศษ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอำนาจเจริญ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมงานเผยแผ่ พระพุทธศาสนา และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสิงห์บุรี สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 30,089,846.43 บาท
โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายณรงค์เดช ขณะดำรงตำแหน่งนักวิชาการศาสนา ชำนาญการ นักวิชาการศาสนาชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอำนาจเจริญ ผู้อำนวยการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสิงห์บุรี สังกัดสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ และคู่สมรส มีรายได้ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ระหว่างปี พ.ศ. 2552 - 2560 รวมเป็นเงิน 3,779,010.65 บาท
และมารดาของคู่สมรสไม่ปรากฏว่า มีรายได้จากการประกอบอาชีพอื่นใด แต่ถือครองทรัพย์สิน เป็นจำนวนมากไม่สัมพันธ์กับรายได้ รวมมูลค่า 30,089,846.43 บาท ดังนี้
1. ทรัพย์สินในชื่อของนายณรงค์เดช ชัยเนตร รวมมูลค่า 8,983,198.07 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก จำนวน 4 บัญชี รวมเป็นเงิน 7,499,587.07 บาท ยานพาหนะ 3 คัน รวมมูลค่า 1,333,611 บาท เงินที่ใช้ในการชำระหนี้เงินกู้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 150,000 บาท
2. ทรัพย์สินในชื่อของคู่สมรส (จดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2560) รวมมูลค่า 19,606,648.36 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก จำนวน 14 บัญชี รวมเป็นเงิน 11,616,105.81 บาท สลากออมสินพิเศษ จำนวน 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 1,000,000 บาท
เงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่ทำการซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์ รวมเป็นเงิน 640,542.55 บาท ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น มูลค่า 6,350,000 บาท
3. ทรัพย์สินในชื่อของมารดาคู่สมรส เป็นสลากออมสินพิเศษ จำนวน 1 ฉบับ เป็นเงิน 1,500,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า นายณรงค์เดช ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น มากผิดปกติ รวมมูลค่า 30,089,846.43 บาท
อีกทั้ง จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของคู่สมรส มีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21,340.44 บาท ซึ่งเงินกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติ ที่จะต้องขอให้ศาลริบทรัพย์สินดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย
จึงให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดิน
และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออก ภายใน 60วัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125