วันนี้ ( 18 มี.ค. 68) มีรายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติ ดังนี้
1.แต่งตั้งข้าราชการจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 42 พ.ร.ป.กกต. เพื่อเดินหน้าคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ฮั้ว สว.) และ การฟอกเงิน
2.แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ตามระเบียบว่าด้วยการสืบสวนไต่สวน 7 คน (รองเลขาฯ กกต. 1 คน ดีเอสไอ 6 คน) มีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับ ความปรากฏว่ามีการฮั้ว สว.ระดับประเทศ
3.แต่งตั้งบุคคลทั้ง 7 คน เป็นคณะอนุกรรมการ ตามมาตรา 37 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนตามข้อ 2 (ซึ่งจะได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 2,500 บาท กับ 2,000 บาท)
สำหรับการเลือก สว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 มีพยานเอกสาร (โพยฮั้ว สว.) ให้เลือกหมายเลข ระดับประเทศ ชุด A และ ชุด B รวม 140 คน ปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1-2 ที่มีรายชื่อตั้งแต่กลุ่มที่ 1 ถึงกลุ่มที่ 20
พบว่า ผู้ที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสภา จำนวน 138 คน และเป็นสำรอง 2 คน มีมูลเป็นการทุจริตในการเลือก หรือ รู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริต หรือเที่ยงธรรม
เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการเลือกตั้ง ดำเนินการสืบสวน หรือไต่ส่วน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานโดยพลันทั้งคดีอาญา หรือ การยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (เมื่อศาลฎีกาแผนกเลือกตั้งรับต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่) ตามนัยมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561
โดยคดีอาญาเป็นอำนาจของดีเอสไอทำสำนวน ซึ่งเรื่องนี้มีการกระทำผิดทั้งหมด 3 กลุ่ม และแยกเป็น 3 กรรม ประกอบด้วย
1.กลุ่มแรก/ความผิดกรรมแรก เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มอั้งยี่ เป็นความผิดทันทีที่เข้าร่วมกลุ่ม / โดยหัวหน้าจะมีโทษหนักขึ้น กรณีนี้อยู่ในอำนาจของดีเอสไอที่จะดำเนินคดีได้
2.กลุ่มแรก/ความผิดกรรมที่สอง เมื่อมีการกระทำผิดตามที่ตกลงกัน ตามข้อ 1.เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง (การฮั้วเลือกตั้ง สว.) ซึ่งอยู่ในอำนาจของ กกต.
3.กลุ่มสาม/ความผิดกรรมที่สาม ในเรื่องฟอกเงินอั้งยี่ ซ่องโจร ความมั่นคง ม.116 และ พ.ร.ป.ได้มาซึ่ง สว. เมื่อมีการกระทำผิดและเปลี่ยนแปลงสภาพเงินที่ได้จากการกระทำผิด อันเข้าลักษณะฟอกเงินแล้ว ย่อมเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง อยู่ในอำนาจของดีเอสไอที่จะดำเนินคดีได้