สนามเลือกตั้งจังหวัดตรัง เป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่อุณหภูมิทางการเมืองร้อนระอุไม่แพ้จังหวัดอื่น เพราะในอดีต เมืองหลวงประชาธิปัตย์คือจังหวัดตรัง
เรามาพูดคุยกับนายทวี สุระบาล อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์หลายสมัย วันนี้ ทวี นั่งเก้าอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ
ครั้งเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา ทวี เป็นพี่เลี้ยงให้ "นายนิพันธ์ ศิริธร" ลงสมัคร ส.ส.ตรัง เขต 1 พลังประชารัฐ ยัดเหยียดความพ่ายแพ้ให้ประชาธิปัตย์มาแล้ว
ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีนี้ พลังประชารัฐส่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ครบ 4 เขต คือ
เขต 1 นายกิตติพงษ์ ผลประยูร
เขต 2 นายทวี สุระบาล
เขต 3 พันตำรวจโท ณัฐพงษ์ ใจสมุทร
และเขต 4 พลตำรวจตรีบรรลือ ชูเวทย์
โดยพรรคพลังประชารัฐให้นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รวมกับนายนิพันธ์ ศิริธร ส.ส.ตรังเขต 1 มาดูแล ทั่วทั้งภาคใต้
"ทวี"เริ่มบทสนทนา ถึงความพร้อมของพรรคพลังประชารัฐ จังหวัดตรังว่า ภาคใต้คำนึงถึงพรรคเป็นสำคัญ คือพรรคพลังประชารัฐ
เพราะนโยบายต่าง ๆที่ออกมาก็เกี่ยวกับพลังประชารัฐทั้งสิ้น
ส่วนนโยบายใหม่ที่พึ่งออกมา คือบัตรสวัสดิการประชารัฐ ให้เพิ่มเงินเป็น 700 บาทสำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป นับว่าเป็นนโยบายที่ดี และนโยบายต่อจากนี้ที่ได้มีการพูดคุยกัน
“อยากจะให้พรรคออกกฎเกณฑ์ว่า ให้อปท.ทั่วประเทศ มามีส่วนร่วมด้วย อาจจะมีการเพิ่มเงินให้อปท. เป็นรายปี นาน 5 ปีติดต่อกัน ส่วนปีละเท่าไหร่ก็ว่ากันไป ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการกำหนดตัวเลขจำนวนที่ชัดเจน ซึ่งเราหวังที่จะพัฒนาท้องถิ่นทุกรูปแบบ”
ยอมรับว่าเลือกตั้งครั้งนี้การแข่งขันดุเดือดทุกเขต และน่าจับตาทุกเขตเช่นกัน เชื่อว่าในจังหวัดตรังน่าจะได้ที่นั่งส.ส.มากกว่าเดิม ซึ่งอาจมองทั้งภาคใต้ก่อนหน้านี้ พปชร.ได้ส.ส. 13+1 ที่นั่ง
" เราต้องการที่จะได้เป้ามากกว่าเดิม และต้องอยากได้คะแนนทั้งของตัวผู้สมัคร และคะแนนของพรรค อยากให้ผู้สมัครแต่ละเขตได้ไปรายงานตัวที่สภาผู้แทนราษฎร และ ส.ส.บัญชีรายชื่อก็จะได้มากตามไปด้วย"ทวี กล่าวด้วยสายตามุ่งมั่น
แม้ครั้งที่ผ่านมา ทวี ลงในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับจะไม่ถึง แต่พรรคให้โอกาสทำงานเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี จึงได้ประสานงาน เอาโครงการ นำงบประมาณมาลงในพื้นที่ มากกว่าคนที่ทำในทำหน้าที่ในสภาเสียอีก”
ขณะที่ นายกิตติพงษ์ ผลประยูร ซึ่งเป็นผู้สมัครของเขต 1 เป็นคนใจดี และเป็นคนที่น่าเคารพนับถือ ขยันลงพื้นที่พบปะกับชาวบ้าน ทั้ง ๆที่ตัว กิตติพงษ์เองไม่เคยเป็นส.ส.มาก่อน แต่ขยันไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้านมากกว่าคนที่เป็นส.ส.เสียอีก ใครที่ขยันไปพบปะชาวบ้านมากกว่าคนอื่น คนนั้นย่อมมีโอกาสมากกว่า ส่วนคนไหนที่ไม่ขยันความหวังก็ย่อมน้อยลงไปด้วย
"หากได้แรงหนุนจากชาวบ้าน หรือได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านก็คิดว่าสามารถ ได้ส.ส.มากกว่า 2 ใน 4 ก็เป็นไปได้"
"ทวี" ประเมินพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่เป็นเจ้าถิ่นจังหวัดตรังว่า คนที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมเขาก็ประสงค์จะยึดเก้าอี้เขาไว้ เพราะประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่ครองใจชาวตรังมาโดยตลอด และไม่ขอวิจารณ์คะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดตรัง
ขณะเดียวกันสะท้อนภาพรวมคู่แข่งสำคัญของพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่ภาคใต้ ว่า พรรคพลังประชารัฐมีโอกาสได้คะแนนกระจายมากกว่าเดิม ซึ่งพรรคที่เป็นแกนนำของภาคใต้แน่นอนว่า ต้องมีชื่อพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งต้องเป็น 4 พรรคนี้ ที่มีการแข่งขันกันสูงในพื้นที่ภาคใต้
ส่วนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จะมีความรุนแรงเข้มข้นมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับตัวผู้สมัครหรือส.ส.ของพรรคมากกว่า ว่าจะเข้าติดชาวบ้านมากน้อยแค่ไหน ใครที่เข้าติดชาวบ้าน ผู้นั้นแหละ ย่อมเป็นที่ไว้วางใจของชาวบ้าน
"คราวที่ผมได้คะแนนส.ส.อันดับ 1 ของประเทศ เพราะผมกลัวตก จึงใช้วิธีเดินไปพบชาวบ้าน ทุกหลังคาเรือน และไม่ได้เป็นการเดินไปหาชาวบ้านแค่ครั้งเดียว แต่เป็นการเดินไปหา 2-3 ครั้ง เพื่อเป็นการเน้นย้ำให้เขายอมรับ ให้ความไว้วางใจในตัว ผมเอง
โดยในรอบนี้ตนก็เดินพบปะชาวบ้านอย่างทั่วถึงแล้ว ทั้งเดินในงานบุญ งานกุศล งานประเพณี และงานศพ ซึ่งหากตนติดภารกิจตนก็ส่งตัวแทนไป ซึ่งกระแสตอบรับดีมาก"
ส่วนกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แยกตัวออกไปตั้งพรรคเมืองรวมไทยสร้างชาติ ไม่ทำให้ความแข็งแกร่งพรรคพลังประชารัฐลดลง
เพราะนโยบายต่าง ๆที่ออกมาล้วนเป็นนโยบายของพรรคทั้งสิ้น และพรรคก็ยังมีนโยบายเพิ่มเติมออกมาว่าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะให้เงิน 700 บาท แก่คนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป และหลังจากนี้จะมีการเพิ่มนโยบายขึ้นอีก
“ผมมองว่า หลังจากนี้การเดินลงพื้นที่หาเสียงของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะคล่องตัวขึ้น”
ขณะเดียวกันแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าการที่ส.ส.จะไปหาเสียงเลือกตั้งก็ต้องชู "ลุงป้อม" พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคการเมืองใดได้จำนวนส.ส.มากกว่า พรรคนั้นควรจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้จำนวนส.ส.มากกว่าก็ควรเป็นผู้ได้จัดตั้งรัฐบาล
ที่พรรคชู พลเอกประวิตร ตั้งแต่วันนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว และอายุของ พลเอกประวิตร ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด แต่มองว่าเป็นผู้มีประสบการณ์มาก มั่นใจในทุกมิติที่พรรคได้ตัดสินใจ ในฐานะที่เป็นลูกพรรค คิดว่าเหมาะที่สุดแล้วที่พรรคตัดสินใจ ชูพลเอกประวิตร เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป
"ผมรู้สึกเสียใจที่พรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่ชู พลเอกประวิตร ตั้งแต่ต้น" ทวี กล่าวทิ้งท้าย