พปชร.แนะย้อนดูไทม์ไลน์ช่วง 8 ปี ก็รู้ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ”ผลงานใคร

27 ก.พ. 2566 | 09:25 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ก.พ. 2566 | 09:30 น.

“พปชร.”แนะย้อนดูไทม์ไลน์ช่วง 8 ปี ก็จะรู้นโยบาย “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-อีอีซี” เป็นผลงานใคร ไม่ติดใจ “รทสช.-บิ๊กตู่”หิ้วเอานโยบายเหล่านั้น ติดตัวไปอยู่พรรคอื่นด้วย

วันนี้ (27 ก.พ.66) นายอุตตม สาวนายน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงนโยบายต่างๆ ที่ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ประกาศบนเวทีปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 ก.พ.2566 ที่พบมีหลายนโยบายทับซ้อนกับของพรรคพลังประชารัฐ ว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ได้ซีเรียสในเรื่องนี้ โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ซึ่งได้ประกาศชัดเจนก่อนหน้านี้ว่า อะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พรรคพลังประชารัฐยินดีให้การสนับสนุน 

“ไม่ต้องการเอาชนะคะคานกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน ต่างก็รับทราบดีว่า นโยบายต่างๆ มีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนคิดริเริ่มและผลักดันจนเป็นรูปธรรม เพียงแต่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทุกเรื่องจะต้องผ่านความเห็นชอบของ ครม. ซึ่งมีนายกฯ เป็นหัวหน้า ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหิ้วเอานโยบายเหล่านั้น ติดตัวไปอยู่พรรคอื่นด้วย”

นายอุตตม ย้ำว่า อย่างนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็แค่ย้อนกลับไปดูว่า โครงการนี้เปิดให้ผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนครั้งแรกในปี 2559 ซึ่งขณะนั้นคนที่เข้ามาคุมนโยบายเศรษฐกิจให้รัฐบาล คสช. คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่กลางปี 2558 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้นายสมคิด กำกับดูแลหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ และที่เกี่ยวข้อง 9 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงการ ต่างประเทศ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน 

“ขณะที่ผม และ ท่านสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เข้าร่วม ครม.ไปเป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของ ท่านสมคิด ซึ่งได้มีนโยบายต่างๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ”

นายอุตตม กล่าวว่า เมื่อตนทำหน้าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผ่านการเลือกตั้งปี 2562 แล้ว ส.ส.ทุกคนของพรรคพร้อมใจกันเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ นายสมคิด และพวกตนก็ยังร่วม ครม.คุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เดินหน้าผลักดันนโยบายที่ริเริ่มเอาไว้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งพวกผมลาออกจาก ครม.ในปี 2563”

"ย้อนดูไทม์ไลน์ช่วง 8 ปี ก็จะรู้ว่า ใครเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันนโยบายเหล่านี้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ถ้าพรรคไหนเห็นว่านโยบายของเราดี จะนำไปสานต่อ พรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร ก็ยินดี ไม่ขัดข้องอะไร" นายอุตตม กล่าว

ด้าน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ กล่าวเช่นกันว่า นโยบายต่างๆ เหล่านี้ เป็นการริเริ่มของนายสมคิด อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพวกตน ตั้งแต่ช่วงรัฐบาล คสช. ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จึงถือได้ว่าเป็นผลผลิตของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึง อีอีซี

“ขอย้ำว่า โครงการอีอีซี หรือ โครงการเขตพิเศษภาคตะวันออก มาจากแนวคิดของ ท่านสมคิด และท่านอุตตม ที่นำเสนอต่อรัฐบาล คสช.เพื่อพลิกฟื้นประเทศ แล้วเดินหน้าผลักดันต่อในนามพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นโครงการหลักของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะพลิกฟื้นด้านการลงทุนแล้ว ยังยกระดับด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของไทยให้ก้าวกระโดดสู่ไทยแลนด์ 4.0" 

ส่วนการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและการจัดการน้ำ ประชาชนก็ทราบดีว่า พล.อ.ประวิตร เป็นผู้ขับเคลื่อนมาตลอด ดังที่ปรากฏข้อมูลผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ตลอดระยะเวลาที่ พล.อ.ประวิตร กำกับดูแลงานด้านน้ำ ได้ลงพื้นที่กว่า 79 ครั้ง ใน 55 จังหวัด ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรงในหลายเรื่อง 

เช่น มีการเพิ่มประสิทธิภาพประปาหมู่บ้าน มีการพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินให้สามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น พัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ประชาชนได้รับประโยชน์จากน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตรถึง 1.33 ล้านครัวเรือน 

“ในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้ ผมคิดว่าคนที่คิดและคนลงมือทำ จะเข้าใจและผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ประชาชนได้ประโยชน์จริง มากกว่าการสั่งการตามหน้าที่" 

นายสนธิรัตน์ กล่าวด้วยว่า จริงๆ แล้ว พรรคพลังประชารัฐไม่คิดว่าจะต้อง มาตอบโต้ หรือ ช่วงชิงว่าใครเป็นเจ้าของนโยบาย เพราะทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลต่างก็ถือว่ามีส่วนร่วมกับทุกนโยบายที่ผ่านมติ ครม. แต่ในเมื่อสังคม เกิดความกังขา และสื่อมวลชนสอบถามมา เราก็พร้อมจะไล่เรียงเพื่อให้เกิดความชัดเจน