ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี โชว์ความแข็งแกร่งหลังการรวมกิจการครบ 1 ปี สร้างผลงานด้วยกำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2565 จำนวน 6,633 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% สะท้อนถึงความสำเร็จทางธุรกิจที่มาพร้อมกับการช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ผ่านโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์และแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ภายใต้เป้าหมายการเป็น The Bank of Financial Well-being พร้อมชวนคนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงิน 4 มิติสำคัญ “ฉลาดออม ฉลาดใช้ - รอบรู้เรื่องกู้ยืม - ลงทุนเพื่ออนาคต - มีความคุ้มครองที่อุ่นใจ” เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจช่วง Post COVID-19 ที่ยังคงเปราะบาง
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า เมื่อย้อนกลับไป 1 ปีที่แล้ว ทีเอ็มบีธนชาตได้รวมกิจการสำเร็จเป็นหนึ่งเดียว พร้อมประกาศพันธกิจเป็นธนาคารที่ต้องการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทยทั้งประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ไทย วันนี้ถึงแม้เรากำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงสถานการณ์โควิดคลี่คลาย (Post COVID-19) ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบ New Normal หลาย ๆ ประเทศรวมทั้งไทยเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัว แต่ทิศทางการฟื้นตัวนั้นยังมีความเปราะบางอยู่เห็นได้จากเงินเฟ้อของไทย ณ เดือนมิถุนายน 2565 พุ่งขึ้นสูงถึง 7.7% ขณะที่ทั้งปี 2564 เพิ่มขึ้นเพียง 1.2% เท่านั้น นั่นหมายถึงรายได้ของทุกคนลดลงจากราคาสินค้าและบริการที่แพงขึ้นจากเงินเฟ้อ ปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนไทยยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในระดับสูง ที่ร้อยละ 91 ต่อจีดีพี ซึ่งคนที่มีหนี้ คือ กลุ่มรายได้น้อยและเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงน่ากังวลอย่างยิ่งว่าเมื่อเงินในกระเป๋าลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ค่าครองชีพและภาระหนี้เพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
นายปิติ กล่าวต่อว่า ท่ามกลางความท้าทายของสภาวะเศรษฐกิจ ความสำเร็จจากการรวมกิจการของทีเอ็มบีธนชาตได้สร้างศักยภาพในการเติบโตให้กับธนาคาร จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมและครบครันมากยิ่งขึ้น รวมถึงศักยภาพในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและให้บริการลูกค้า โดยความสำเร็จในด้านธุรกิจนี้สะท้อนได้จากผลประกอบการธนาคาร ซึ่งล่าสุดมีกำไรสุทธิรวม 6 เดือนแรกของปีที่ 6,633 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีที่แล้ว รวมทั้งมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีความเพียงพอของเงินกองทุนที่ 19.9% ซึ่งสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงการดำเนินงานที่วางแผนอย่างรอบคอบผ่านกลยุทธ์การเติบโตอย่างมีคุณภาพ
นอกเหนือจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทีเอ็มบีธนชาตยังได้เดินหน้าทำหน้าที่ตามพันธกิจที่ประกาศไว้ โดย ช่วยให้ลูกค้าจำนวนมากมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ผ่านโซลูชันที่ตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้กับผู้คนอย่างแท้จริง อาทิ
ทีเอ็มบีธนชาตเชื่อในเรื่องการ Make REAL Change สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของคนไทยอย่างแท้จริง ผ่านการยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินของธนาคาร ภายใต้แนวคิด ชีวิตการเงินดีต้องมี 4 มิติสำคัญ ได้แก่
มิติที่ 1: ฉลาดออม ฉลาดใช้ ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และแบ่งออมก่อนใช้ เพื่อมีเงินเก็บสำรองฉุกเฉิน
มิติที่ 2: รอบรู้เรื่องกู้ยืม ศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อเลือกใช้สินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพการเงินของตนเอง โดยต้องสำรวจรายได้-รายจ่ายของตัวเองอย่างละเอียด
มิติที่ 3: ลงทุนเพื่ออนาคต ท่ามกลางความผันผวนของตลาดทั่วโลก การลงทุนยังเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่เราต้องเลือกลงทุนในเครื่องมือที่มีความผันผวนต่ำ กระจายความเสี่ยงได้ดีและที่สำคัญสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีความรู้การลงทุนมากนักควรเลือกลงทุนในรูปแบบที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลพอร์ตลงทุนให้
มิติที่ 4: มีความคุ้มครองที่อุ่นใจ พอดีกับช่วงชีวิตและความต้องการ เพื่อไม่ต้องเอาเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต ใช้ไปกับเรื่องฉุกเฉิน
“ทีเอ็มบีธนชาตได้เดินหน้าพัฒนาโซลูชันการเงินภายใต้ 4 มิติพื้นฐานนี้มาโดยตลอด อย่างไรก็ดี แม้ธนาคารจะมีโซลูชันที่ดี แต่หากลูกค้าเองไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการเงิน ชีวิตทางการเงินของลูกค้าก็ยากที่จะดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในเวลานี้ที่เศรษฐกิจมีความอ่อนไหว ทีเอ็มบีธนชาตจึงอยากชวนคนไทยลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงิน โดยสามารถนำแนวคิด 4 มิติพื้นฐานดังกล่าวไปปรับใช้ เพื่อสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีได้ด้วยตัวของลูกค้าเอง ขณะที่ทีเอ็มบีธนชาตในฐานะ The Bank of Financial Well-being ก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ของธนาคารให้ดีที่สุด เพื่อที่จะจับมือเดินหน้าไปกับลูกค้าสู่ชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้ และอนาคต” นายปิติ กล่าวสรุป