ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 12มี.ค.2568ที่ระดับ 33.77 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าสำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways
ในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
โดยเรามองว่า เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ตลาดการเงินฝั่งเอเชียอาจได้รับอานิสงส์บ้าง และมีโอกาสเห็นแรงซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติได้
นอกจากนี้ เรายังคงเห็นแรงขายเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่บ้าง ในช่วงที่เงินบาททยอยอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน ทำให้ เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนักในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ขณะที่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวรับ 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ฝั่งผู้นำเข้า ต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ ในช่วงเงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง นอกจากนี้ เรายังคงกังวลว่า หากราคาทองคำย่อตัวลง หลังตลาดขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนราคาทองคำ ก็อาจเป็นปัจจัยที่จำกัดการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.70-33.90 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.74-33.89 บาทต่อดอลลาร์)
หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) กลับสู่โซน 2,930-2,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามจังหวะการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯ ชะลอลงสู่ระดับ 2.8%
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็ชะลอลงสู่ระดับ 3.1% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการเกิดภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอ แต่อัตราเงินเฟ้อสูง) ลงบ้าง
นอกจากนี้ ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือครองทองคำ ท่ามกลาง ความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ
ที่เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ขณะเดียวกัน การรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ก็มีส่วนช่วยจำกัดการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ชะลอลงต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการเกิดภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอ แต่อัตราเงินเฟ้อสูง) ลงบ้าง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Tesla +7.6%, Nvidia +6.4% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.22% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.49%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.81% หนุนโดยความหวังการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม
จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ซึ่งภาพดังกล่าว ได้หนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ยุโรป รีบาวด์ขึ้น ตามหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ เช่นกัน อาทิ ASML +2.1%
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่า รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด จะออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลความเสี่ยงการเกิดภาวะ Stagflation ในสหรัฐฯ
แต่บรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัว Sideways แถวระดับ 4.31% ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย หนุนให้ตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง สู่โซน 103.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.3-103.8 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยง แต่จังหวะย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และความต้องการถือทองคำ รับมือความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,940-2,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในช่วงปลายเดือน หลังล่าสุด อัตราเงินเฟ้อ CPI ได้ชะลอลง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบจากการดำเนินนโยบายลดการจ้างงานโดย DOGE ซึ่งอาจกระทบต่อภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ และทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงทิศทางนโยบายการเงินของเฟดได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.77-33.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.42 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ยังเคลื่อนไหวเหนือแนว 2,900 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบจากตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง [US CPI +2.8% YoY ในเดือนก.พ. ต่ำกว่า +3.0% YoY ในเดือน ม.ค. และ +2.9% YoY ที่ตลาดคาด]
อย่างไรก็ดี คงต้องติดตาม สถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึง Sentiment ของค่าเงินอื่น ๆ ในเอเชีย และประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า ซึ่งอาจทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในระหว่างวัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.65-33.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.พ.