ล่าสุด “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ถึงผลดำเนินงานในปี 2565 และทิศทางธุรกิจในปี 2566 จากการบริหารงานของทายาทรุ่นที่ 2 ของบริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT
ก้าวผ่านอุปสรรคใหญ่ปีนี้อย่างสวยงาม
นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ซีอีโอ DPAINT เล่าว่า ปี 2565 เป็นปีที่ยากและท้าทายมากสำหรับผู้ประกอบการ เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน, สถานการณ์น้ำท่วม และค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก ทั้งนี้ยังมีปัจจัยด้านราคาน้ำมันและเคมีภัณฑ์ที่ปรับขึ้นอย่างมาก จึงกระทบต้นทุนการผลิตและกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 1-ปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ซึ่งทาง DPAINT ได้แก้ปัญหาด้วยการลดค่าใช้จ่าย บริหารจัดการวัตดุดิบ และ ขึ้นราคาสินค้าเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายตลาด และ เพิ่มรายได้ ทำให้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 น่าจะเห็นการเติบโตอย่างชัดเจน และ ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมปีนี้ DPAINT สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ในที่สุด
เจาะตลาดเคมีภัณฑ์
“ภาพรวมธุรกิจปี 2565 เรามีการเติบโตต่อเนื่อง จากการขยาย ร้านค้าใหม่ และการเพิ่มเครื่องผสมสี ตามการเติบโตของเมืองผ่านตัวแทนการจัดจำหน่าย และการขยายบริษัทตัวแทนจำหน่าย รวมทั้งการค้าผ่านชายแดนที่ประเทศกัมพูชา,ประเทศเมียนมา”
ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ทางบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มเคมีคู่สี ที่จะช่วยพยุงยอดขายในช่วงโลว์ซีซันได้ ทั้งนี้ยังได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์น้ำท่วม ทำให้บริษัทได้งานจากการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยรวมทั้งบริษัทมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ (Flagship Product) คือ DELTA SHIELD 4D ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีจากผู้แทนจัดจำหน่าย ทำให้มียอดสั่งจองสินค้าถึง 100 ล้านบาท ภายใน 1 วัน หลังจากที่มีการจัดงานประชุมสุดยอดพันธมิตรครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา
ขยายฐานลูกค้า รับความท้าทายปี 65
นายรณฤทธิ์ เล่าต่อว่า สำหรับไฮไลท์ในปี 2565 คือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทได้มีการเปิดตัวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไพรส์พอยท์จากเดิมในอดีตมีการเจาะกลุ่มเซกเมนต์ซุปเปอร์พรีเมียมเพียงอย่างเดียว แต่ผลิตภัณฑ์ใหม่ DELTA SHIELD 4D จะรุกในกลุ่มเซกเมนต์ตามกำลังซื้อของผู้บริโภค ปัจจุบันบริษัทยังขยายงานลูกค้ากลุ่มคอนโดมีเนียมที่ยังมีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้รับงานจาก Developer รายใหญ่ ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภูมิใจจากการขยายฐานลูกค้า,การเพิ่มเครื่องผสมสี, การตอบรับจากหน่วยงานเอกชนรายใหญ่, การค้าผ่านชายแดน ฯลฯ
ดึงกองทุนระดับนานาชาติมาร่วมถือหุ้น
“ในช่วงเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา มีกองทุนชั้นนำของประเทศไทย และกองทุนจากต่างประเทศ 3 สถาบันประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด, กองทุนระดับโลก UBS Global และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เเลนด์ เเอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) เข้ามาถือหุ้น DPAINT ในสัดส่วน 15% ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพบริษัท”
ปักธงยอดขาย ปี 66 พุ่ง 1.2 พันล้าน
ขณะที่แผนดำเนินงานในปี 2566 นายรณฤทธิ์ ให้สัมภาษณ์ต่อว่า บริษัทน่าจะสามารถเติบโตต่อได้ โดยบริษัทยังมีแผนการวางเครื่องผสมสีเพิ่มอีกอย่างน้อย 200 เครื่อง จากปัจจุบันมีเครื่องผสมสี ประมาณ 600 เครื่อง รวมทั้งจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด ซึ่งเป็นการขยายมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มสินค้าเดิมที่มีการเปิดตัวไปในช่วงปี 2565 โดยบริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายสีทางอาคารในปี 2566 เติบโตอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากยอดขายในปี 2565 ที่ตั้งเป้าอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตประมาณ 20% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) หากยอดขายเป็นไปตามคาด จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
“ในปี 2566 เรายังมุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าในกลุ่มลูกค้าภายในประเทศ (Domestic) คาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้น 200 ราย ตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งการเปิดรับผู้บริหารและบุคลากรที่มีประสบการณ์ มาช่วยบริษัทขยายธุรกิจ"
รุกการค้าข้ามชายแดน
ด้านการค้าขายชายแดน นายรณฤทธิ์ เล่าอีกว่า DPAINT วางแผนจะขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน ขณะนี้ได้มีการหารือร่วมกับตัวแทนร้านค้ารายใหญ่กึ่งโมเดิร์นเทรดใน สปป.ลาว คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ นอกจากนี้ บริษัทได้ส่งออกผลิตภัณฑ์และการวางเครื่องผสมสี ผ่านตัวแทนจัดจำหน่ายไปยังประเทศกัมพูชาแล้ว ส่วนประเทศเมียนมายังติดเรื่องปัญหาภายในและสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่เป็นไปตามเป้ามากนัก ฟาก สปป.ลาว ถือเป็นทิศทางที่ดี สอดคล้องกับประเทศจีนที่ผ่อนคลายสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 คาดว่าจะได้เห็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม CLMV ทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์ในเรื่องนี้ด้วย
ผ่าทิศทางตลาดอุตสาหกรรมการผลิตสี ปี 66
ปิดท้ายสำหรับทิศทางตลาดอุตสาหกรรมการผลิตสีในปี 2566 นายรณฤทธิ์ มองว่า “ผลิตภัณฑ์สียังเป็นวัสดุตกแต่งที่มีความต้องการ ช่วยปกปิดผนังและปกป้องอาคารในราคาที่ประหยัดและมีระยะการใช้งานที่คงทนกว่า เมื่อเทียบกับวัสดุปกปิดผนังอาคารอื่นๆ อีกทั้งตลาดอุตสาหกรรมผลิตสีมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะการจัดการรีโนเวท ราว 70-80% ทำให้ดีมานด์ค่อนข้างสม่ำเสมอ หากมีความต้องการตกแต่งบ้าน,คอนโดสูงหรืออาคารชุดจะอยู่ในแพ็กเก็จของผลิตภัณฑ์สี ซึ่งเป็นส่วนที่สะดุดตามากที่สุด เมื่อมีผู้คนมาเยี่ยมบ้าน เชื่อว่าตลาดอุตสาหกรรมผลิตสีเป็นไปในทิศทางที่ดีต่อนักลงทุนที่สนใจ หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆเพิ่มเติม”
นอกจากนี้ในปี 2566 บริษัทได้วางแผนขยายส่วนแบ่งทางการตลาด คือ การขยายช่องทางและการขยายสินค้า เนื่องจากฐานเดิมของบริษัทไม่ได้ใหญ่มาก รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ไม่ได้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยบริษัทมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์วัสดุปิดผิวอย่าง ปูน ราว 80% ซึ่งยังมีวัสดุอีกหลายประเภทที่บริษัทยังไม่ได้ดำเนินการผลิต เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมีข้อจำกัดในการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ล่าสุดบริษัทได้มีการหารือร่วมกับคู่ค้าบางราย ในเรื่องการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) โดยปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่จะช่วยให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้คงต้องจับตาผู้บริหารยุคใหม่ไฟแรงทายาทรุ่นที่ 2 ของบมจ.สีเดลต้า หากสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ เชื่อว่าจะทำให้บริษัทขึ้นแท่นผู้นำตลาดสี และสามารถพาองค์กรเติบโตและมีกำไรได้อย่างต่อเนื่อง