ตุลาคม คือ ช่วงเวลาครบรอบการมีอยู่ของ AIS ซึ่งในปีนี้คือ 33 ปีเต็มของการให้บริการ และพร้อมก้าวสู่ปีที่ 34 อย่างเต็มที่ ด้วยพลังกาย พลังใจจากพนักงานทุกคนที่มุ่งมั่นทำงาน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ของประเทศ รวมไปถึงส่งต่อพลังใจเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ให้แก่สังคมทุกภาคส่วน
นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวในโอกาสนี้ว่า “ในฐานะที่เป็นพลเมืองของประเทศ หน้าที่สำคัญซึ่งเราไม่เคยละเลย ก็คือ การร่วมพัฒนาสังคม เติมเต็ม ส่งต่อความช่วยเหลือ จากองค์ความรู้ พลังกาย พลังใจของพนักงาน ผ่านแนวคิด “ถ้าเราทุกคน คือเครือข่าย” เพราะเราเชื่อเสมอว่า การรวมพลังทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันจะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้เสมอ”
ดังนั้นที่ผ่านมาทุกๆ ปีในวาระครบรอบการดำเนินงาน AIS นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรธรรมาภิบาล ที่เดินหน้านำดิจิทัลมาขับเคลื่อน สร้างความเท่าเทียม พร้อมการยืนหยัดเพื่อสิ่งแวดล้อมตามหลักคิดเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินธุรกิจแล้ว พนักงาน AIS ยังได้รวมพลังกันส่งต่อโครงการเพื่อประโยชน์ต่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านแนวคิด “ภารกิจคิดเผื่อเพื่อสังคมไทย” ที่มีโครงการต่างๆเพื่อแบ่งปันน้ำใจกลับไปสู่สังคมตลอดระยะเวลา 33 ปี
เริ่มจาก พลังของบุคลากรกว่า 13,000 คน ในนามอุ่นใจอาสา ที่ทำงานต่อยอดพัฒนาชุมชน และโรงเรียน จนมาสู่ โครงการ AIS Academy for Thais ยกระดับความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยเหลือคนไทยให้เข้าถึงองค์ความรู้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกได้อย่างทันท่วงที จากนั้น โครงการอุ่นใจอาสา พัฒนาอาชีพ ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็เกิดขึ้น เพื่อสร้างอาชีพให้กับคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในช่วงโควิด
รวมถึงในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา เราได้จัดกิจกรรม สุขคูณ2 ทั้ง สุขด้วยกัน ปันน้ำใจ และ สุขแบ่งปัน ให้กับสังคม ด้วยการมอบรายได้ทั้งหมดจากการร่วมกิจกรรมของพนักงานทั่วประเทศ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ให้แก่ รพ.ศิริราช เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้
ส่วนในโอกาสที่ AIS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 34 เรายังคงสร้างวัฒนธรรมที่จะส่งต่อความแข็งแกร่งขององค์กรไปสู่สังคมและประเทศชาติ ทั้งในแกนของเศรษฐกิจที่วันนี้เรายกระดับขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้เอื้อต่อภาคส่วนต่างๆ ที่สามารถเข้ามาเชื่อมต่อการทำงานเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมถึงในแกนของสังคมที่เราเชื่อว่าพลังแห่งการ “ให้” ไม่สิ้นสุด โดยพวกเราได้ร่วมกันได้ทำบุญช่วยเหลือผู้ป่วยวิกฤตโรงพยาบาลราชวิถีร่วมเป็นผู้ให้ ส่งต่อลมหายใจ กับกิจกรรรม 13,637 พลังใจ = 1 เครื่องช่วยหายใจ
นายสมชัย กล่าวต่อไปอีกว่า “เครื่องช่วยหายใจ ถือเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตหลักที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมาซึ่งในหลายกรณีที่เครื่องช่วยหายใจสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายดีและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะสามารถช่วยดูแลอาการ พยุงการทำงานของหัวใจและปอด โดยทำหน้าที่ปั๊มเลือดทดแทนการบีบตัวของหัวใจ ร่วมกับแลกเปลี่ยนออกซิเจนทดแทนปอด พร้อมๆกับการบริหารการรักษาให้มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยน้อยที่สุด”
“ดังนั้นเมื่อทุกลมหายใจมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศและสังคม การที่ได้มีโอกาสช่วยต่อลมหายใจให้แก่ผู้ป่วยผ่านโครงการนี้ของชาวเอไอเอสในวาระก้าวสู่ปีที่ 34 จึงถือว่า พวกเราได้ร่วมกันส่งต่อลมหายใจให้แก่สังคม เศรษฐกิจ และประเทศด้วยอีกทางหนึ่งครับ” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย